ทำไมการติดหน้าแรก Google ถึงดีต่อธุรกิจ?
ก่อนจะไปถึงเคล็ดลับ เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าทำไมการติดหน้าแรกของ Google ถึงเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าจะให้เห็นภาพง่าย ๆ ลองนึกถึงการมีร้านค้าอยู่ในทำเลทองที่มีคนเดินผ่านไปมาทั้งวัน โอกาสที่คนจะแวะเข้าร้านย่อมสูงกว่าการตั้งร้านในซอยลึกใช่ไหม? เว็บไซต์ของคุณก็เช่นกัน ถ้าติดหน้าแรกของ Google ก็เหมือนอยู่ในจุดที่คนมองเห็นง่าย มีโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น
แถมยังมีสถิติที่บอกว่า ผู้ใช้ส่วนใหญ่มักดูแค่ผลลัพธ์หน้าแรกของ Google และมีน้อยคนนักที่จะคลิกไปหน้าถัดไป นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณควรให้ความสำคัญกับ SEO และการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับสูง ๆ เพราะมันส่งผลดีต่อธุรกิจของคุณในหลายมิติ เช่น
- เพิ่มการมองเห็น (Visibility): ติดหน้าแรก = มีคนเห็นมากขึ้น = โอกาสสร้างแบรนด์กว้างขึ้น
- เพิ่มทราฟฟิก (Traffic): คนมักคลิกเว็บไซต์ที่อยู่บนสุดของผลการค้นหา ทำให้คุณได้จำนวนผู้เข้าชมมากขึ้นแบบฟรี ๆ ไม่ต้องเสียค่าโฆษณา
- เพิ่มโอกาสสร้างลูกค้า (Leads) และยอดขาย (Sales): คนที่ค้นหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ มักจะมีความสนใจในสินค้าหรือบริการอยู่แล้ว การติดหน้าแรกจึงช่วยให้เปลี่ยนจากแค่ “ผู้ค้นหา” ไปเป็น “ลูกค้า” ได้ง่ายขึ้น
- สร้างความน่าเชื่อถือ (Brand Credibility): เว็บไซต์ที่ติดอันดับต้น ๆ ของ Google มักถูกมองว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ น่าเชื่อถือ และมีความเป็นมืออาชีพ
9 วิธีทำเว็บไซต์ ออกแบบอย่างไรให้ติดหน้าแรก Google
ทุกวันนี้ใคร ๆ ก็อยากให้เว็บไซต์ตัวเองติดหน้าแรก Google เพราะมันหมายถึงโอกาสที่ลูกค้าจะเจอเราก่อนใคร แต่จะทำยังไงให้เว็บของเราปังกว่าเจ้าอื่น? มาดู 9 เทคนิคออกแบบเว็บไซต์ ที่ทั้ง ถูกใจ Google และดึงดูดผู้ใช้งาน มาฝาก บอกเลยว่า อ่านง่าย ทำตามได้จริง ไม่ต้องเป็นเทพ SEO ก็ทำให้เว็บติดอันดับได้
1. เข้าใจหลักการทำงานของ Google แบบง่าย ๆ
ก่อนจะลงมือสร้างเว็บไซต์ให้ปัง เราต้องเข้าใจก่อนว่า Google ใช้หลักการอะไรในการจัดอันดับเว็บไซต์บ้าง เพราะถ้าเรารู้แนวทาง ก็จะทำให้เว็บไซต์ของเราติดหน้าแรกได้ง่ายขึ้น
Google ใช้บอทอัจฉริยะที่เรียกว่า Crawlers หรือ Spider วิ่งสำรวจเว็บไซต์ทั่วโลก เก็บข้อมูลไปทำเป็น Index หรือฐานข้อมูลขนาดใหญ่ พอมีคนค้นหาอะไรสักอย่าง Google ก็จะไปคัดเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องและมีคุณภาพมาแสดงผล
เกณฑ์ที่ Google ให้ความสำคัญ
- เนื้อหาต้องดีและมีประโยชน์ ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน ตรงประเด็น และตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้จริง
- เว็บไซต์ต้องใช้งานง่าย โหลดเร็ว ไม่กดแล้วหงุดหงิด ดูดีทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์
- ปลอดภัยไว้ก่อน เว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS มีความน่าเชื่อถือมากกว่า แถมช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งานด้วย
- ต้องเกี่ยวข้องกับคำค้นหา ถ้าคนค้นหาเรื่องหนึ่ง แต่เนื้อหาในเว็บพูดอีกเรื่อง แบบนี้ Google ก็มองว่าไม่ตรงและดันขึ้นอันดับยาก
สรุปง่าย ๆ Google รักเว็บที่ให้ประสบการณ์ดีและมีเนื้อหามีประโยชน์ ถ้าเราทำให้เว็บไซต์ของเราตอบโจทย์ครบทุกข้อ โอกาสติดหน้าแรกก็พุ่งสูงขึ้นแน่นอน
2. วางโครงสร้างเว็บไซต์ให้เป็นมิตร
คิดซะว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นร้านค้า ถ้าของวางระเกะระกะ หยิบจับยาก ลูกค้าคงเดินออกไปตั้งแต่หน้าประตู! เว็บก็เหมือนกัน ถ้าโครงสร้างไม่ดี คนใช้หาอะไรไม่เจอ Google ก็สับสน วางโครงสร้างให้ดีตั้งแต่แรก รับรองว่าทั้งคน ทั้งบอท แฮปปี้แน่นอน
วางโครงสร้างยังไงให้เวิร์ก?
- เลือกโครงสร้างให้เหมาะกับเว็บของคุณ ถ้าเว็บมีเนื้อหาเยอะ แบ่งหมวดหมู่ชัด ๆ ลองใช้ Silo Structure ช่วยจัดระเบียบ ถ้าเป็นเว็บเล็ก หรือไม่ซับซ้อน Flat Structure ก็ตอบโจทย์ เพราะเข้าถึงทุกหน้าได้ง่าย
- ออกแบบเมนูนำทางให้ใช้ง่าย คิดจากมุมมองผู้ใช้ เค้าจะหาอะไร? ทำให้มันชัด ๆ คลิกเดียวไปถึง
- ทำ URL ให้กระชับ อ่านแล้วรู้เรื่อง
https://blupaper.co/th/blog/9-tips-boost-website
https://blupaper.co/th/blog/ad96622gp/
- ติดตั้ง Schema Markup ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาเราได้ดีขึ้น เช่น บอกว่านี่เป็นบทความ รีวิว หรือสินค้า ทำให้แสดงผลใน Search Result ได้โดดเด่นขึ้น
- ใช้ HTTPS เพิ่มความปลอดภัย Google ให้คะแนนเว็บที่ใช้ HTTPS มากกว่า HTTP ธรรมดา นอกจากปลอดภัยขึ้น ยังเพิ่มความน่าเชื่อถืออีกด้วย
สุดท้าย อยากรู้ว่าโครงสร้างเว็บมีปัญหาตรงไหน? ลองใช้ Google Search Console เช็กดู ถ้ามีจุดไหนต้องแก้ ก็รีบปรับก่อนที่อันดับ SEO จะร่วง
3. เลือก Keyword ให้เป๊ะ ยิงตรงกลุ่มเป้าหมาย
การเลือก Keyword ที่ใช่และตรงใจกลุ่มเป้าหมาย เหมือนการตั้งป้ายร้านให้คนเห็นแล้วอยากเดินเข้ามา ถ้าเลือกถูก ลูกค้าก็เจอเราได้ง่ายขึ้น แถมยังช่วยให้เว็บไซต์ของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย
วิธีเลือก Keyword ให้ปัง
- เริ่มจากมุมมองลูกค้า ลองคิดดูว่าถ้าคุณเป็นลูกค้า คุณจะพิมพ์คำว่าอะไรใน Google เพื่อหาเจอสินค้าหรือบริการของเรา
- ทำ Keyword Research ให้ลึก ใช้เครื่องมือเด็ด ๆ อย่าง Google Keyword Planner, Ubersuggest, Semrush, Ahrefs หรือ Keywordtool.io เพื่อดูว่าคนค้นหาอะไรบ่อย และคู่แข่งใช้คำไหนกัน
- แยก Primary & Secondary Keyword Primary Keyword = คำหลักที่เป็นหัวใจของเนื้อหา Secondary Keyword = คำรองที่ช่วยเสริม ให้ครอบคลุมการค้นหามากขึ้น
- ใช้ Long-Tail Keywords ให้ได้เปรียบ คำค้นหายาว ๆ เช่น “ออกแบบตกแต่งภายในคอนโดสไตล์มินิมอล” อาจมีคนค้นหาน้อยกว่า “ตกแต่งคอนโด” แต่โอกาสได้ลูกค้าที่ต้องการจริง ๆ มีสูงกว่า แถมแข่งน้อยกว่าด้วย
- ส่อง Keyword คู่แข่ง ดูว่าเขาใช้คำไหน แล้วมองหาโอกาสที่เราจะใช้คำอื่นที่แตกต่าง หรือจับจุดที่เขาตกหล่น เพื่อให้เราก้าวนำในตลาด
สรุปง่าย ๆ การเลือก Keyword ไม่ใช่แค่เลือกคำฮิต แต่ต้องเลือกให้ตรงจุด ตรงกลุ่ม และฉลาดใช้ เพื่อให้คนหาเราเจอ และคลิกเข้ามาหาเราแบบไม่ต้องเสียค่าโฆษณาเยอะ
4. เนื้อหาดี มีประโยชน์ ตอบโจทย์ลูกค้า
เนื้อหาคือหัวใจของเว็บไซต์! ถ้าทำดี บอกเลยว่า Google ก็รัก คนอ่านก็หลง เว็บไซต์ที่มีเนื้อหามีคุณภาพ ไม่ใช่แค่ช่วยให้ติดอันดับดีขึ้น แต่ยังทำให้คนอยู่ในเว็บนานขึ้น ลด Bounce Rate และมีโอกาสกลับมาเยี่ยมชมอีกครั้ง
แล้วเนื้อหาที่ดีต้องเป็นยังไง?
- Original & Unique ต้องมีเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร ห้ามก็อปเว็บอื่นเด็ดขาด!
- Valuable & Engaging มีประโยชน์ อ่านสนุก ดึงดูดคนให้อยากอ่านต่อ
- Comprehensive ครบถ้วน ตอบทุกคำถามที่คนอยากรู้
- VVariety หลากหลาย ทั้งบทความ วิดีโอ อินโฟกราฟิก หรือพอดแคสต์
- Fresh & Updated อัปเดตสม่ำเสมอ เพราะ Google ชอบเว็บที่มีการเคลื่อนไหว
เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าของเรามากที่สุด อย่าลืมถามตัวเองเสมอว่า… ถ้าเราเป็นลูกค้า เราอยากอ่านอะไร? เราคาดหวังอะไรจากเนื้อหานี้? ถ้าตอบสองข้อนี้ได้ รับรองว่าเนื้อหาจะปัง โดนใจทั้ง Google และลูกค้าแน่นอน
5. ปรับแต่ง On-Page SEO ให้ปัง
On-Page SEO คือ การปรับแต่งเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้ถูกต้องตามหลัก SEO ช่วยให้ Google Bot เข้าใจเนื้อหาของเราง่ายขึ้น และที่สำคัญยังทำให้ผู้ใช้งานอ่านแล้วอิน คลิกแล้วอยากติดตามต่อ!
เทคนิคง่าย ๆ ในการทำ On-Page SEO ให้ได้ผล
- Title Tag และ Meta Description คิดซะว่าเป็นหน้าตาของบทความ หัวข้อและคำอธิบายต้องกระชับ ดึงดูด และมีคีย์เวิร์ดหลักแบบเนียน ๆ เพราะสิ่งนี้จะปรากฏบน Google Search เป็นอย่างแรก ถ้าคนเห็นแล้วโดนใจ โอกาสคลิกพุ่งแน่นอน
- Header Tags (H1, H2, H3…) จัดระเบียบเนื้อหาให้ดูอ่านง่าย โดยใช้ H1 เป็นหัวข้อหลัก จากนั้นใช้ H2, H3 สำหรับหัวข้อย่อย พร้อมแทรกคีย์เวิร์ดแบบเป็นธรรมชาติ ช่วยให้ Google จัดหมวดหมู่เนื้อหาได้ดีขึ้น และคนอ่านก็ไม่มึน
- Keyword Placement อย่าใส่คีย์เวิร์ดมั่ว ๆ แต่ให้กระจายให้ถูกที่! ใช้คีย์เวิร์ดใน Title, Meta Description, Header และในย่อหน้าแรกของเนื้อหา แต่ระวังอย่ายัดเยอะเกินไป เดี๋ยวจะดูสแปม
- Internal Linking การใส่ลิงก์เชื่อมโยงภายในเว็บ (Internal Links) ช่วยให้คนอ่านไหลไปอ่านหน้าต่อไปได้แบบลื่นไหล และยังทำให้ Google เข้าใจโครงสร้างเว็บเรามากขึ้น อย่าลืมใส่ลิงก์ที่เกี่ยวข้องให้พอดี ๆ ไม่ต้องยัดเยอะจนดูรก
- Alt Text สำหรับรูปภาพ รูปก็ต้องทำ SEO เหมือนกัน ใส่ Alt Text เพื่อบอก Google ว่ารูปนี้เกี่ยวกับอะไร และยังช่วยให้คนที่มีปัญหาทางสายตาสามารถเข้าใจเนื้อหาผ่านโปรแกรมอ่านหน้าจอได้อีกด้วย
ทำตามนี้ รับรองว่าเว็บของคุณจะทั้งน่าอ่าน น่าคลิก และติดอันดับบน Google ได้ง่ายขึ้น
6. เชื่อมต่อเว็บไซต์ให้ปังด้วย Backlink คุณภาพ
Backlink ก็คือเวลาที่เว็บอื่นลิงก์กลับมาหาเว็บของเรา เหมือนเป็นการรับรองว่าเว็บเรามีคุณภาพและน่าเชื่อถือ พอ Google เห็นแบบนี้ ก็จะให้คะแนนความน่าเชื่อถือ (Domain Authority) เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เว็บเรามีโอกาสติดอันดับดีขึ้นนั่นเอง
วิธีสร้าง Backlink ให้ได้ผล ไม่พัง
- โฟกัสที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ อย่าหลงไปทำ Backlink กับเว็บอะไรก็ได้ เพราะบางที่ไม่มีคุณภาพ แถมอาจโดน Google เล่นงาน! ควรเลือกเว็บที่น่าเชื่อถือ มี Domain Authority สูง และเกี่ยวข้องกับธุรกิจเรามากกว่า
- อย่าใช้ทางลัดที่ผิด การซื้อ Backlink ทำ Link Farm หรือ Spam Comment อาจช่วยระยะสั้น แต่เสี่ยงโดน Google ลงโทษจนเว็บร่วงหายไปเลย ทางที่ดีคือทำให้เป็นธรรมชาติที่สุด
- สร้างคอนเทนต์ที่มีค่า เดี๋ยว Backlink ก็ตามมาเอง ถ้าคุณทำเนื้อหาดี ๆ คนก็จะอยากแชร์ อยากลิงก์กลับมาเอง วิธีนี้ปลอดภัยและได้ผลในระยะยาวสุด ๆ
- ส่องคู่แข่ง หาช่องทางลุย ใช้เครื่องมืออย่าง Ahrefs หรือ Majestic เช็กดูว่าเว็บคู่แข่งได้ Backlink มาจากไหน แล้วเราจะมีโอกาสไปฝากลิงก์กับเว็บเหล่านั้นได้ยังไงบ้าง
สรุปง่าย ๆ เล่นให้สะอาด เน้นคุณภาพ ทำคอนเทนต์ให้ดี แล้ว Backlink ดี ๆ จะมาเอง
7. เพิ่มสปีดเว็บให้พุ่งแรงเหมือนติดจรวด
ในยุคดิจิทัลแบบนี้ ใครจะทนรอเว็บโหลดช้า ๆ ได้? ถ้าเว็บของคุณอืด กดเข้าไปแล้วต้องนั่งรอเป็นชาติ บอกเลยว่าผู้ใช้งานกดปิดแน่นอน! ไม่ใช่แค่คนที่เบื่อ Google ก็ให้ความสำคัญกับความเร็วเว็บเหมือนกัน เพราะมันส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้และอันดับ SEO ด้วย แล้วเราจะเพิ่มสปีดเว็บให้แรงติดจรวดยังไง? มาดูกัน
- เช็กความเร็วเว็บก่อนเลย ใช้เครื่องมือเทพ ๆ อย่าง Google PageSpeed Insights, GTmetrix หรือ WebPageTest เช็กดูว่าเว็บของเราช้าเพราะอะไร แล้วค่อยจัดการแก้ไขให้ตรงจุด
- ลดขนาดรูปภาพ แต่ยังคมชัดเหมือนเดิม รูปสวย ๆ บนเว็บคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ถ้ารูปไฟล์ใหญ่ไปก็เป็นตัวการทำให้โหลดช้า วิธีแก้คือ บีบอัดรูปให้เล็กลงแบบไม่เสียคุณภาพ และใช้ไฟล์ฟอร์แมตที่เหมาะสม คือ WebP หรือ PNG
- จัดการโค้ดให้สะอาดและโหลดไว ถ้ามี CSS/JS ไฟล์ใหญ่ ๆ หรือโค้ดที่ไม่จำเป็น รีบลบทิ้งด่วน หรือรวมไฟล์ให้เป็นไฟล์เดียวเพื่อลดจำนวน Request ช่วยให้เว็บโหลดไวขึ้นเยอะ
- เปิดใช้ Caching โหลดไวแบบสายฟ้าแลบ การเปิด Caching ช่วยให้ผู้ใช้งานไม่ต้องโหลดข้อมูลใหม่ทุกครั้งที่เข้าเว็บ เพราะระบบจะเก็บไฟล์บางส่วนไว้ให้เรียกใช้ได้เร็วขึ้น
- ใช้ CDN ให้เว็บโหลดไวทั่วโลก CDN (Content Delivery Network) คือเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายอยู่ทั่วโลก เวลาใครเข้าเว็บจากที่ไหน ระบบจะดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุด ทำให้เว็บโหลดไว ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก
ทำตาม 5 ข้อนี้ รับรองว่าเว็บของคุณเร็วแรงเหมือนติดเทอร์โบ
8. ทำให้เว็บพร้อมใช้งานบนมือถือ
รู้หรือเปล่าว่า… ทุกวันนี้คนใช้มือถือเข้าเว็บมากกว่าคอมพิวเตอร์ไปแล้ว! นั่นหมายความว่า ถ้าเว็บของคุณยังไม่รองรับมือถือ (Mobile-Friendly) คุณอาจพลาดโอกาสดึงดูดผู้ใช้งานไปเพียบ แถม Google เองก็ใช้ระบบ Mobile-First Indexing ซึ่งให้ความสำคัญกับเวอร์ชันมือถือเป็นหลักด้วย
ทำยังไงให้เว็บพร้อมใช้งานบนมือถือ?
- เช็กให้ชัวร์ว่าเว็บของคุณ Mobile-Friendly หรือยัง ลองเปิดเว็บบนมือถือแล้วสังเกตดู – มันแสดงผลดีไหม? มีอะไรขาดๆ เกินๆ หรือเปล่า? ถ้าไม่แน่ใจ ใช้เครื่องมืออย่าง Google Mobile-Friendly Test ช่วยตรวจสอบได้
- ใช้ Responsive Design ปรับหน้าจอให้เข้ากับทุกอุปกรณ์ การออกแบบเว็บให้ Responsive คือเรื่องจำเป็น ไม่ว่าผู้ใช้จะเปิดเว็บบนคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ตโฟน หน้าเว็บก็ต้องปรับขนาดให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ดูสวย อ่านง่าย ใช้งานสะดวก
- ใส่ใจ UX บนมือถือ ใช้งานง่าย โหลดไว ไม่รอนาน ปุ่มต้องกดง่าย ไม่เล็กเกินไป ฟอนต์ต้องอ่านง่าย ไม่ต้องเพ่ง โหลดเร็ว ไม่ให้ผู้ใช้ต้องรอนาน เนื้อหาต้องกระชับ ไม่ยืดยาวเกินไป
- ใช้ AMP (Accelerated Mobile Pages) ช่วยเพิ่มความเร็ว ถ้าเว็บของคุณเป็นแนวบทความ หรือมีหน้าที่ต้องโหลดเร็วเป็นพิเศษ AMP จะช่วยให้หน้าเว็บเบาขึ้น โหลดไวขึ้น เหมาะมากสำหรับใครที่อยากให้เว็บติดอันดับดีขึ้นใน Google
สรุปง่ายๆ เว็บที่ใช้งานง่ายบนมือถือ = โอกาสในการเข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น + อันดับบน Google ที่ดีกว่า อย่ามองข้ามเรื่องนี้เด็ดขาด
9. วัดผลและปรับปรุง SEO อย่างต่อเนื่อง
การทำ SEO ไม่ใช่แค่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้องติดตามผลและปรับกลยุทธ์อยู่ตลอด เพราะ Google เองก็อัปเดตอัลกอริทึมอยู่เรื่อย ๆ ถ้าอยากให้เว็บติดอันดับแบบยั่งยืน เราต้องวัดผลและพัฒนา SEO อย่างต่อเนื่อง
วิธีวัดผลและปรับปรุง SEO ให้ปัง
- เลือกเครื่องมือให้เหมาะกับงาน ตัวช่วยสำคัญของนักทำ SEO คือเครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Google Analytics, Google Search Console หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ช่วยให้เราเห็นข้อมูลจริง ๆ ของเว็บไซต์ เลือกใช้ตามงบประมาณ ฟีเจอร์ที่ต้องการ และเป้าหมายของเว็บไซต์
- ติดตาม Metrics สำคัญ ไม่ปล่อยผ่าน ไม่ว่าจะเป็น Organic Traffic, Keyword Ranking, Bounce Rat, Conversion Rate
- วิเคราะห์ข้อมูลและปรับกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอ อย่าแค่ดูตัวเลขแล้วปล่อยผ่าน! มาวิเคราะห์กันว่ามีอะไรต้องปรับ เช่น คนเข้ามาจากคีย์เวิร์ดไหนเยอะสุด? มีคำไหนที่ต้องดันเพิ่ม? Bounce Rate สูงเกินไปไหม? ต้องปรับคอนเทนต์หรือหน้าเว็บให้ดึงดูดขึ้นหรือเปล่า? Conversion Rate ดีหรือยัง? หรือมีจุดไหนที่ยังติดขัด?
SEO เป็นเกมระยะยาว ยิ่งวัดผลและปรับปรุงสม่ำเสมอ เว็บเราก็ยิ่งแข็งแกร่ง ติดอันดับยาว ๆ และที่สำคัญคือ ดึงดูดลูกค้าได้จริง
ทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google ง่าย ๆ ไปกับ Blupaper
ในยุคที่ทุกธุรกิจต้องแข่งกันแย่งพื้นที่บนโลกออนไลน์ ถ้าเว็บของคุณติดหน้าแรก Google ได้ ก็เหมือนมีทำเลทองที่ลูกค้าหาเจอง่ายขึ้น! ยิ่งคนเห็นเยอะ โอกาสได้ลูกค้าใหม่ก็เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด แถมยังช่วยขยายธุรกิจให้เติบโตในระยะยาวอีกด้วย
แต่จะทำให้ติดอันดับดี ๆ ได้นั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของโชค ต้องมีเทคนิคที่ใช่! ถ้านำ 9 เคล็ดลับเด็ด ที่เราแนะนำไปลองปรับใช้ รับรองว่า Google ต้องหันมามองเว็บคุณแน่นอน
แต่ถ้าไม่อยากเสียเวลาลองผิดลองถูก ให้ Blupaper จัดการให้ ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมช่วยยกระดับเว็บไซต์คุณ ให้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง และไปถึงหน้าแรกของ Google แบบมั่นคงและยั่งยืน
อย่ารอให้โอกาสหลุดมือ! ทักมาปรึกษาฟรี แล้วเริ่มต้นความสำเร็จไปกับ Blupaper ได้เลย