Retargeting คืออะไร?

Retargeting คือ กลยุทธ์โฆษณาออนไลน์ที่ช่วยให้เรากลับไปสื่อสารกับคนที่เคยสนใจแบรนด์ของเราได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นคนที่เคยเข้าเว็บไซต์ ดูสินค้า หรือโต้ตอบบนโซเชียล แต่ยังไม่ได้กลายเป็นลูกค้าจริง เช่น ตอนที่เราเข้าไปดูสินค้าบนเว็บไซต์ กดดูรายละเอียด กดเพิ่มลงตะกร้า แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อ แล้วไม่กี่ชั่วโมงต่อมา กลับเห็นโฆษณาสินค้าชิ้นเดิมปรากฏขึ้นอีกบน Facebook, Instagram หรือแม้แต่บน YouTube ที่เปิดดูอยู่ นั่นหมายความว่า เราเจอเจ้า Retargeting Ads เข้าให้แล้ว

ซึ่งการทำ Retargeting ต่างจากการยิงโฆษณาหาคนใหม่ ที่ต้องเริ่มสร้างความเชื่อมั่นจากศูนย์ทุกครั้ง หรือพูดง่าย ๆ คือ Retargeting ช่วยให้เราตามไปย้ำความสนใจเดิม ของกลุ่มเป้าหมายในช่วงเวลาที่เขายังจำแบรนด์เราได้อยู่นั่นเอง

retargeting ทำงานอย่างไร

แล้ว Retargeting ทำงานอย่างไร?

การทำ Retargeting Ads ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด เราจะมาทำให้เข้าใจง่ายขึ้นด้วยการแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

1. ติดตามพฤติกรรม (Tracking)

ขั้นแรก เมื่อมีคนเข้ามาที่เว็บไซต์ของเรา ระบบจะติดตั้ง Pixel หรือ Tag เพื่อเก็บข้อมูล เช่น เขาดูสินค้าอะไร เพิ่มสินค้าลงตะกร้า หรือคลิกหน้าโปรโมชันอะไรบ้าง

2. สร้างกลุ่มเป้าหมาย (Audience Segmentation)

ขั้นตอนต่อมา ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกนำมาแบ่งกลุ่ม เช่น

  • คนที่เข้าชมหน้าแต่ยังไม่ซื้อ
  • ลูกค้าเก่าที่หายไปนานกว่า 30 วัน
  • คนที่เคยดูวิดีโอโฆษณาของเราเกิน 50%

3. ยิงโฆษณาซ้ำ (Ad Delivery)

จากนั้นจึงสร้าง Retargeting Ads เพื่อให้คนกลุ่มนี้เห็นโฆษณาอีกครั้ง ไม่ว่าจะบน Facebook, Google หรือ TikTok โดยเนื้อหาของโฆษณาจะถูกออกแบบให้เฉพาะเจาะจงกับพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละกลุ่ม

4. วัดผลและปรับกลยุทธ์ (Optimization)

หลังจากแคมเปญเริ่มรันไปแล้ว เราจะวัดผล เช่น CTR, Conversion Rate และ ROAS เพื่อปรับโฆษณาให้แม่นยำและคุ้มค่ามากขึ้น

ตัวอย่างสถานการณ์การทำ Retargeting

  • คนที่ดูสินค้ารุ่น X ไว้ แต่ยังไม่ซื้อ จะเห็นแอด “รุ่น X ลด 10% ภายใน 48 ชั่วโมง”
  • คนที่เพิ่มของลงตะกร้าแต่ยังไม่จ่าย จะเห็นแอด “ส่งฟรีเมื่อชำระวันนี้”
  • ลูกค้าเก่าที่หายไป 45 วัน จะเห็นแอด “สินค้าใหม่สำหรับลูกค้าเก่าพร้อมส่วนลดพิเศษ”

ขั้นตอนเหล่านี้คือการทำ Retargeting ที่ช่วยให้แบรนด์เราไม่หายไปจากใจลูกค้า แถมยังกลับไปปรากฏในช่วงเวลาที่พวกเขายังพร้อมที่จะซื้ออีกด้วย

การทำ Retargeting Ads มีประโยชน์อย่างไร?

หลายคนอาจคิดว่า ยิงโฆษณาซ้ำให้ลูกค้าเห็นอีก มันจะต่างจากโฆษณาทั่วไปยังไง? ตอบได้เลยว่า Retargeting Ads ให้ได้มากกว่านั้น เพราะเทคนิคนี้ไม่ใช้แค่การยิงแอดซ้ำ ๆ แต่เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้เราใช้เงินเท่าเดิม แต่ได้ผลลัพธ์มากกว่าเดิมหลายเท่าด้วยการโฆษณาอย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็น

  • เพิ่มโอกาสปิดการขาย (Boost Conversion Rate) ลูกค้าไม่ได้ซื้อทันทีที่เห็นโฆษณาครั้งแรก การทำ Retargeting ช่วยให้เรากลับไปเตือนคนที่เคยสนใจอยู่แล้วให้กลับมาซื้อได้ในจังหวะที่เหมาะสม
  • ลดต้นทุนต่อการซื้อ (Lower CPA / Higher ROAS)การยิงแอดหาคนใหม่ตลอดจะเริ่มจากศูนย์เสมอ แต่ Retargeting ทำให้เราใช้เงินกับกลุ่มที่มีแนวโน้มซื้อจริง ช่วยให้งบน้อยลง แต่ปิดดีลได้มากขึ้น
  • สร้างการจดจำแบรนด์ (Brand Recall)การเห็นโฆษณาซ้ำในหลายช่องทาง ช่วยให้ลูกค้าคุ้นเคยและไว้ใจแบรนด์เราโดยไม่รู้ตัว เมื่อถึงเวลาตัดสินใจซื้อ แบรนด์เราจะเป็นชื่อแรกที่พวกเขานึกถึง
  • สร้างประสบการณ์เฉพาะตัว (Personalized Experience)Retargeting ช่วยให้เราสื่อสารกับลูกค้าแต่ละคนได้ตรงใจมากขึ้น ด้วยการปรับข้อความหรือภาพให้ตรงกับพฤติกรรม
  • ใช้ข้อมูลวางกลยุทธ์ระยะยาว (Strategic Data Insight)การทำ Retargeting ทำให้เราเก็บข้อมูลเชิงลึกด้านพฤติกรรมลูกค้าได้ ซึ่งจะช่วยให้เราวางแผนทำเทคนิค Retargeting ระยะยาวได้แม่นยำและคุ้มค่าขึ้น

ประเภทของ Retargeting ที่นักการตลาดควรรู้

การทำ Retargeting ไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียว เพราะเราสามารถเลือกใช้วิธีที่เหมาะกับพฤติกรรมลูกค้าและช่องทางการสื่อสารของเราได้ โดย Retargeting Ads แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้

1. Pixel-Based Retargeting

Pixel-Based Retargeting ถือเป็นประเภทพื้นฐานที่ใช้กันมากที่สุด เพราะจะใช้ข้อมูลจากผู้ที่เคยเข้าเว็บไซต์ของเรามาทำโฆษณา ด้วยการติด Pixel / Tag บนเว็บไซต์ เพื่อเก็บข้อมูลผู้เข้าชม เช่น คนที่เข้าเว็บมาดูสินค้าแต่ยังไม่ซื้อ ก็จะเห็นแอดกล้องรุ่นเดิมพร้อมโปรโมชัน

การทำ Retargeting ประเภทนี้ ใช้ได้กับทั้ง Google Ads, Facebook Ads และ TikTok Ads แต่จะเหมาะกับเว็บ E-Commerce หรือธุรกิจที่มีสินค้าหลากหลายเป็นอย่างมาก เพราะเจาะกลุ่มแม่นยำและเห็นผลไว แต่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์และต้องติด Tracking อย่างถูกต้อง

2. Social Media Retargeting

Social Media Retargeting คือ การทำ Retargeting ภายในแพลตฟอร์มโซเชียล เช่น Facebook, Instagram หรือ TikTok โดยไม่จำเป็นต้องพาออกไปที่เว็บไซต์ ด้วยการสร้างกลุ่มเป้าหมายจากคนที่เคยโต้ตอบโพสต์ ดูวิดีโอ หรือคลิกแอด เช่น คนที่ดูวิดีโอรีวิวสินค้าเกิน 50% จะเห็นโฆษณาสินค้านั้นพร้อมส่วนลดพิเศษ

ซึ่งจะเหมาะกับแบรนด์ที่เน้นคอนเทนต์โซเชียลหรือขายผ่านเพจโดยตรง เพราะไม่ต้องพึ่งเว็บไซต์ แถมยังตั้งกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียด แต่ด้วยการทำผ่านแพลตฟอร์ม จึงจำกัดเฉพาะในแต่ละแพลตฟอร์มนั้น ๆ เช่น คนบน Facebook จะไม่เห็นบน TikTok นั่นเอง

อ่านบทความน่าสนใจ :Google Ads vs Facebook Ads แบบไหนคุ้มค่าสำหรับธุรกิจคุณ?

3. List-Based Retargeting

หรือถ้าเราที่มีฐานข้อมูลลูกค้าอยู่แล้ว เช่น รายชื่ออีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์ก็สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปทำโฆษณาซ้ำผ่านระบบโฆษณาได้ เช่น Facebook Custom Audience, Google Customer Match เป็นต้น ด้วยการอัปโหลดรายชื่อหรืออีเมลลูกค้าให้ระบบจับคู่กับบัญชีโซเชียลของผู้ใช้ เพื่อให้ลูกค้าเก่าที่เคยซื้อสินค้าครั้งก่อน เห็นโฆษณาสินค้าใหม่ในหมวดเดียวกันได้

Retargeting ประเภทนี้ เหมาะกับธุรกิจที่มี CRM ร้านค้าออนไลน์ หรือแบรนด์ที่ขายซ้ำได้ เพราะสามารถยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายคุณภาพสูงได้อย่างแม่นยำ แต่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลลูกค้าจำนวนมาก และต้องคำนึงถึง PDPA หรือความเป็นส่วนตัวของลูกค้าด้วย

4. Search Retargeting

Search Retargeting คือ การยิงโฆษณาไปหาคนที่เคยค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราด้วยการใช้ข้อมูลพฤติกรรมการค้นหาจากระบบโฆษณาเช่น คนที่เคยเสิร์ช “ซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์” แล้วเห็นโฆษณาเว็บไซต์เราบนเว็บอื่น ๆ

การทำ Retargeting ประเภทนี้ จะเหมาะกับแบรนด์ที่เน้น Awareness และต้องการขยายฐานผู้สนใจ เพราะสามารถเข้าถึงคนที่มีเจตนาซื้อจริงได้อย่างแม่นยำ แต่ต้องใช้ระบบโฆษณาที่มีฐานข้อมูลพฤติกรรมค้นหา

ตารางเปรียบเทียบประเภทของ Retargeting

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่าแบบไหนเหมาะกับธุรกิจเรากันแน่ เราเลยทำตารางเปรียบเทียบสั้น ๆ ของ Retargeting ทั้ง 4 แบบ พร้อมจุดเด่นและข้อจำกัดของแต่ละประเภทมาไว้ให้แล้ว

ประเภทช่องทางหลักกลุ่มเป้าหมายจุดเด่นข้อจำกัด
Site RetargetingWebsite /
Display Network
เคยเข้าเว็บแม่นยำ
เห็นผลเร็ว
ต้องมีเว็บไซต์ / Tracking ถูกต้อง
Social Media RetargetingSocial Media Platformsเคยโต้ตอบบนโซเชียลใช้ง่าย
ไม่ต้องมีเว็บ
จำกัดแพลตฟอร์มเดียว
List-Based RetargetingEmail / CRM Systemลูกค้าเก่าหรือรายชื่อใน CRMเจาะกลุ่มคุณภาพสูงต้องมีฐานข้อมูล
ระวัง PDPA
Search RetargetingSearch & Display Adsเคยค้นหาคำใกล้เคียงเจาะ Intent สูงขึ้นอยู่กับระบบ
ของแพลตฟอร์ม

แชร์เทคนิค Retargeting ตามลูกค้าอย่างถูกวิธีและมีชั้นเชิง

แทนที่จะยิงแอดรัว ๆ แบบไม่มีทิศทาง ลองมาดูเทคนิคที่นักการตลาดมืออาชีพใช้กันจริง รับรองว่าเทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้เราทำ Retargeting เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากว่าเดิมได้แน่นอน

1. แบ่งกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน

การรวมคนที่พฤติกรรมต่างกันไว้ในกลุ่มเดียว แล้วยิงโฆษณาแบบเดียวกันทั้งหมด ทำให้เราเสียทั้งงบประมาณ และโอกาสในการปิดการขาย

เทคนิคสำคัญของการทำ Retargeting Ads คือการแบ่งกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนด้วยการทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บไซต์ เพราะลูกค้าแต่ละคนมีจุดประสงค์ต่างกัน เราจึงไม่ควรยิงโฆษณาชิ้นเดียวให้กับทุกคนที่เข้ามาในเว็บ

โดยอาจแบ่งกลุ่มด้วยการดู Google Analytics เพื่อดูว่า หน้าไหนมีคนเข้าเยอะที่สุด หรือคนกลุ่มไหน สนใจหน้าใดเป็นพิเศษ แล้วค่อยสร้างโฆษณาออกมาหลาย ๆ ชุด ให้ตรงกับแต่ละกลุ่ม เช่น

  • กลุ่มที่อ่านบล็อก ยิงแอด “บทความ / คอนเทนต์ต่อยอด”
  • กลุ่มดูเว็บไซต์และสินค้าหลัก ยิงแอด “โปรลดราคา”
  • กลุ่มที่เพิ่มของไว้ในตะกร้า ยิงแอด “คูปอง / ส่งฟรี”

ยิ่งเราแบ่งกลุ่มละเอียดและเฉพาะเจาะจงมากเท่าไหร่ โฆษณาของเราก็จะยิ่งแม่นและใช้เงินได้คุ้มค่ามากเท่านั้น

2. ตั้งค่า Frequency Cap ให้เหมาะสม

การเห็นโฆษณาซ้ำช่วยกระตุ้นความสนใจก็จริง แต่ถ้าเห็นบ่อยเกินไป ก็อาจกลายเป็นความรำคาญแทนได้

โดยอาจจะจำกัดความถี่การเห็นโฆษณาไว้ประมาณ 3–5 ครั้งต่อวันพร้อมทำการทดสอบผลลัพธ์ระหว่าง “เห็นบ่อย” vs “เห็นพอดี” ด้วย A/B Testing และหมั่นตรวจการซ้ำซ้อนของกลุ่มเป้าหมาย (Overlap) เป็นประจำ อย่าลืมว่าลูกค้าควรเห็นเราในจังหวะที่เหมาะ ไม่ใช่เห็นเราทุกที่จนอยากหนี

อ่านบทความน่าสนใจ : ทำการตลาดให้แม่นยำด้วย A/B Testing เคล็ดลับปรับกลยุทธ์ให้ตรงใจลูกค้า

3. ใช้โฆษณาแบบ Dynamic Ads

เทคนิค Retargeting นี้ จะใช้ระบบอัตโนมัติช่วยปรับเนื้อหาให้ตรงกับพฤติกรรมลูกค้าแต่ละคน
ไม่ว่าจะเป็นภาพสินค้า ข้อความ หรือโปรโมชัน เพื่อให้ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนได้ตามคนที่ดูอย่างเหมาะสม เช่น

  • คนที่ดู รองเท้ารุ่น X ปรับให้เห็นโฆษณารองเท้ารุ่น X พร้อมส่วนลดเฉพาะรุ่น
  • คนที่ซื้อไปแล้ว ปรับให้เห็นโฆษณา อุปกรณ์เสริมรองเท้า หรือรุ่นใหม่
  • ลูกค้ากลับมาในช่วงโปรโมชัน ปรับให้เห็นข้อความ ลดเพิ่มพิเศษสำหรับคุณ

การใช้ Dynamic Ads จะช่วยให้โฆษณาของเราตรงใจ และเพิ่มโอกาสคลิกได้มากกว่าแอดทั่วไปถึง 2–3 เท่า เลยทีเดียว

4. อยู่ให้ถูกที่ ถูกเวลา

Retargeting จะได้ผลสูงสุดก็ต่อเมื่อเรายิงในเวลาที่ลูกค้ายังจำเราได้ และใน ช่องทางที่พวกเขาใช้งานบ่อย ด้วยการใช้ข้อมูลแวดล้อม (Context) เช่น

  • ระยะเวลาที่ลูกค้าอยู่ในเว็บ
  • จำนวนหน้าเพจที่เข้าชม
  • กลับมาเยี่ยมเว็บซ้ำ
  • มีประวัติซื้อสินค้าบางประเภท

หลังจากได้ข้อมูลเหล่านี้แล้ว เราก็สามารถนำมาสร้างโฆษณาที่เหมาะกับบริบทตอนนั้นของลูกค้าได้ โดยมีแนวทาง ดังนี้

  • ดู Session Duration / Page Depth ใน GA4 เพื่อวัดระดับความสนใจ
  • ตั้งเวลา Retargeting ภายใน 24–72 ชั่วโมง หลังจากลูกค้าเข้าเว็บ
  • ใช้ข้อมูลจากพฤติกรรมจริง เช่น
    • กลุ่มที่อยู่ในเว็บนาน ยิงแอดโปรโมชันหรือคอนเทนต์ขาย
    • กลุ่มที่อยู่ในเว็บแค่สั้น ๆ ยิงแอด Awareness หรือ Content เพิ่มความเข้าใจ
    • กลุ่มที่เคยซื้อแล้วกลับมาดูอีก ยิงแอด Upsell / Cross-sell
  • เลือกช่องทางตามพฤติกรรม เช่น
    • ถ้าเน้น Awareness เลือกยิงบน Facebook / Instagram
    • ถ้าเน้น Conversion เลือกใช้ Google Display หรือ Email

เพราะบางครั้งลูกค้าอาจจะแค่แวะเข้ามาดูเล่น หรือเข้ามาในช่วงที่ยังไม่พร้อมจะซื้อ ถ้าเรารีบยิงโฆษณาซ้ำเร็วเกินไป อาจทำให้พวกเขารู้สึกถูกบังคับ แต่ถ้าช้าเกินไป ก็อาจถูกลืม จึงต้องยิงให้พอดีอย่างถูกที่ถูกเวลา

5. สร้างลำดับโฆษณาให้ต่อเนื่องตามเส้นทางลูกค้า

แทนที่จะยิงแอดตัวเดียว เราจะสร้างลำดับโฆษณา (Ad Sequence)เพื่อพาลูกค้าผ่านทุกช่วงของการตัดสินใจซื้ออย่างเป็นระบบ ด้วยการใช้ Insights จากแอดก่อนหน้า เช่น คนที่ดูวิดีโอแอดแรกเกิน 50% ขึ้นไปจะเห็นแอดถัดไป จากนั้นลดกลุ่มเป้าหมายในแต่ละลำดับเพื่อคัดคนที่สนใจจริง และปรับใช้ Storyline เดียวกันทุกชิ้น เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกว่าโฆษณาเชื่อมโยงกัน

ด้วยแนวคิดง่าย ๆ ดังนี้

  • แอดแรก เริ่มต้นที่ Pain Point เช่น ยิงแอด Awareness “คุณกำลังเจอปัญหานี้อยู่หรือเปล่า?”
  • แอดสอง เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา เช่น ยิงแอด Education “เราช่วยคุณแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ยังไง?”
  • แอดสาม ปิดการขาย พร้อมรีวิวจากลูกค้าจริง เช่น ยิงแอด Conversion “รับส่วนลดพิเศษวันนี้เท่านั้น”

การเล่าเรื่องต่อเนื่องแบบนี้จะช่วยให้ลูกค้าจะค่อย ๆ เข้าสู่กระบวนการตัดสินใจ โดยไม่รู้สึกว่าถูกขายตรงจนเกินไป

6. ทดลอง วัดผล และปรับอย่างต่อเนื่อง

Retargeting ไม่มีสูตรตายตัว จึงจำเป็นต้องทำการทดสอบ วัดผล และปรับปรุงตลอดเวลา เพื่อให้แต่ละแคมเปญดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีสิ่งที่ควรวัดอย่างสม่ำเสมอคือ

เพราะข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เรารู้ว่าอะไรเวิร์กที่สุดสำหรับกลุ่มลูกค้าของเรานั่นเอง

ทำ retargeting ให้เหมาะกับธุรกิจคุณไปกับ blupaper

ให้แบรนด์กลับเข้าสู่ใจลูกค้าอีกครั้งด้วยการทำ Retargeting

Retargeting ไม่ใช่แค่การยิงโฆษณาซ้ำใส่ลูกค้ารัว ๆ แต่เป็นศิลปะการเข้าใจลูกค้า และกลับไปสื่อสารในเวลาที่เหมาะสม เพราะไม่เพียงแต่ทำให้แบรนด์ของเราตามลูกค้ากลับมาได้ แต่ยังกลับไปในแบบที่ลูกค้าอยากเห็นอีกด้วย

หากคุณกำลังมองหาการทำ Retargeting Ads ให้ได้ผลจริงแบบไม่เผางบ Blupaper มีทีมวางกลยุทธ์โฆษณาออนไลน์ที่เชี่ยวชาญทั้ง Google, Facebook และ Performance Marketing พร้อมช่วยวิเคราะห์เส้นทางของลูกค้า วางแผน Retargeting และปรับแคมเปญให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ

เพราะการตลาดทุกวันนี้ไม่ได้แข่งกันที่ ใครยิงแอดได้เยอะกว่า แต่แข่งกันที่ใครเข้าใจลูกค้าได้ดีกว่า ปรึกษา Blupaper ได้เลยตอนนี้!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำ Retargeting

Q: Retargeting ต่างจาก Remarketing ยังไง?

A: Retargeting คือ การยิงโฆษณาซ้ำให้คนที่เคยมีพฤติกรรมกับแบรนด์ เช่น เข้าเว็บ ดูสินค้า หรือคลิกโพสต์ เพื่อให้กลับมาดำเนินการต่อ หรือก็คือการยิงแอดตามพฤติกรรมออนไลน์

ส่วน Remarketing หมายถึงการทำการตลาดซ้ำผ่านช่องทางอื่น ๆ เช่น อีเมล หรือ SMS กับลูกค้าเก่าที่เคยซื้อสินค้าไปแล้ว หรือก็คือการสื่อสารซ้ำกับลูกค้าเก่าผ่านฐานข้อมูลนั่นเอง

Q: ถ้าอยากทำ Retargeting จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ก่อนไหม?

A: ไม่จำเป็น เพราะสามารถทำ Retargeting ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยใช้ข้อมูลจากคนที่เคยมีส่วนร่วมกับเพจได้เช่นกัน แต่หากมีเว็บไซต์ด้วย ก็จะสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้ละเอียดกว่า

Q: Retargeting เหมาะกับธุรกิจแบบไหน?

A: ทุกธุรกิจสามารถทำได้ แต่จะเห็นผลชัดที่สุดในกลุ่มธุรกิจที่ลูกค้าต้องใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อ เช่น E-Commerce และ B2B / Subscription เป็นต้น เพราะ Retargeting จะช่วยย้ำการจดจำแบรนด์ และกลับไปปิดการขายได้ในจังหวะที่ลูกค้าพร้อม

Q: ทำ Retargeting Ads ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผล?

A: ขึ้นอยู่กับงบประมาณ ความถี่ในการยิงโฆษณา และความพร้อมของกลุ่มเป้าหมาย โดยทั่วไปแล้ว ถ้าตั้งกลุ่มเป้าหมายถูกต้อง มักจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ ภายใน 7–14 วัน หลังเริ่มแคมเปญ โดยอาจเริ่มจากกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีพฤติกรรมชัด เช่น คนที่เพิ่มของลงตะกร้าจะเห็นผลเร็วที่สุด

Q: มีอะไรที่ต้องระวังในการทำ Retargeting ไหม?

A: ควรคำนึงถึงความยินยอมของลูกค้า โดยจะต้องขอความยินยอม (Consent) ทุกครั้งก่อนเก็บข้อมูลลูกค้า มีการแจ้งผ่าน Cookie Banner หรือ Privacy Policy อย่างชัดเจน