AI Search คืออะไร? น้องใหม่เขย่าวงการการค้นหา
เดิมทีการค้นหาบน Google ที่หลายคนรู้จักก็คือการพิมพ์คำถาม แล้วรอคลิกเข้าเว็บไปหาคำตอบ
จากเดิมที่เคยมี 10 ลิงก์ให้เลือกอ่าน ตอนนี้พอพิมพ์ปุ๊บ AI ก็ตอบปั๊บ แบบสรุปมาให้เสร็จพร้อมภาพ ตาราง ลิงก์อ้างอิงครบจบในกล่องเดียว ด้วย AI Search Engine ที่ไม่ใช่กลไกหาคีย์เวิร์ดแบบเดิม แต่ใช้ Generative AI มาทำความเข้าใจเจตนาของผู้ใช้ (Search Intent) ก่อนจะสร้างคำตอบขึ้นมาใหม่โดยอิงจากแหล่งข้อมูลหลากหลาย จนแทบไม่ต้องคลิกไปไหนอีก
สิ่งนี้ก็คือ Google Search Generative Experience (SGE) นั่นเอง และมันก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ค้นหาไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนว่า พอมีการอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ขนาดนี้ ผู้ใช้ก็เริ่มจะไม่คลิกลิงก์กันแล้ว เพราะได้คำตอบครบในหน้าเดียว พอเป็นแบบนี้เว็บไซต์หลายแห่งก็เสีย Organic Traffic ทั้งที่ยังอยู่อันดับดี จน SEO แบบเดิมเริ่มตกขอบโดยไม่รู้ตัว
AI Search Engine กับ Google Search ต่างกันอย่างไรบ้าง?
หลายคนเริ่มสงสัยว่า แล้วตกลง AI Search Engine กับ Google Search มันต่างกันตรงไหน?
รูปแบบการตอบคำถาม
- Google Search ให้ตัวเลือก
เมื่อพิมพ์คำค้นไปแล้วเราก็จะเจอกับลิงก์เต็มหน้าจอ (SERP) แล้วค่อยคลิกเข้าไปอ่านเอง เหมาะกับคนที่อยากค้นเจอลิงก์หลายแหล่ง แล้วเลือกเองว่าคลิกอะไร
- AI Search ให้คำตอบ
ถาม-ตอบเหมือนคุยกับคน สรุปคำตอบให้ทันที ไม่ต้องคลิกหลายเว็บ AI จะคัดเนื้อหาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ แล้วสรุปให้เลยตรงหน้า
มุมมองต่อคีย์เวิร์ด
- Google Search
ยังต้องพึ่งคีย์เวิร์ดอยู่พอสมควร เพราะระบบ Ranking ขึ้นอยู่กับการแมตช์คำ
- AI Search
เข้าใจภาษาธรรมชาติมากกว่า ไม่ต้องพิมพ์แบบโรบอต เช่น “ร้านกาแฟ อารีย์ รีวิว 2025” แค่ถามว่า “มีร้านกาแฟอารีย์ไหนน่านั่งบ้าง?” AI ก็เข้าใจและหาคำตอบได้แบบไม่ยึดติดกับคำเป๊ะ ๆ
จุดประสงค์ของคนค้น
- Google Search
คนที่ใช้มักจะอยากค้นหาเพื่อตัดสินใจต่อ เช่น “ซื้อ iPhone รุ่นไหนดี” เพื่อไปเปรียบเทียบเอง หรือ “แนะนำ Digital Agency” เพื่อคลิกไปอ่านเพิ่มเติม
- AI Search
คนที่ใช้มักจะอยากได้คำแนะนำสรุปทันที เช่น “iPhone รุ่นไหนดี ถ้าเน้นถ่ายวิดีโอ?” หรือ “มี Digital Agency ที่เชี่ยวชาญสาย B2B ไหม?”
ทำให้ Keyword ยุคใหม่ไม่ใช่แค่ Short-tail หรือ Long-tail แล้ว แต่กลายเป็น Question-tail ถามเป็นประโยคเพื่อให้ AI ตอบได้เลย
โอกาสของแบรนด์และเว็บไซต์
- Google Search
ติดอันดับจากการมีคนคลิกเข้าเว็บ จาก Traffic, Retargeting และ Conversion
- AI Search
สร้าง Brand Authority โดยไม่ต้องถูกคลิก ถ้าแบรนด์เราถูกพูดถึงเป็นแหล่งอ้างอิง
แล้ว SEO ยังสำคัญอยู่ไหม?
แม้จะมีคนบ่นว่า SEO กำลังจะตาย แต่ในความเป็นจริง SEO แค่เปลี่ยนรูปแบบการทำงานเท่านั้นเอง
จากเดิมที่สู้กันด้วย Keyword และ Backlink เพื่อแย่งอันดับหน้าแรก ตอนนี้เป้าหมายคือ ต้องแทรกตัวเข้าไปอยู่ในคำตอบของ AI ให้ได้
SEO Content ยุค AI จึงไม่ใช่แค่ทำให้ติดหน้าแรก แต่ต้องติดในคำตอบที่ AI สร้างขึ้นด้วย
นับเป็นความท้าทายและโอกาสใหม่ของนักทำคอนเทนต์
อนาคตของ SEO ในยุค AI ปรับตัวอย่างไรให้ทันโลก!
1. ทำ Content ที่ตอบ Intent
AI มองออกว่าเนื้อหาไหนเขียนเพื่อคน หรือเขียนเพราะอยากติดอันดับคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ได้จริง มีข้อมูลลึก มีมุมใหม่ จะมีโอกาสถูกดึงไปอยู่ในคำตอบ AI มากกว่าคอนเทนต์บาง ๆ
2. ให้ความสำคัญกับ E-E-A-T ยิ่งกว่าเดิม
Google ให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวกับสุขภาพ การเงิน และการให้คำปรึกษา ใส่ชื่อผู้เขียน และความเชี่ยวชาญให้ชัดเจน จะช่วยให้ AI เลือกเนื้อหาของเราเป็นแหล่งอ้างอิง
3. โครงสร้างเว็บต้องพร้อมให้ AI เข้าใจ
ในยุคที่คนถาม ChatGPT ก่อน Google เราก็ควรจะรู้ว่า AI รู้จักแบรนด์เราหรือยัง โดยเริ่มจากการสร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามอย่างตรงประเด็น ใช้ภาษาที่ชัดเจนและเชื่อมโยงกับคีย์เวิร์ดที่คนถามจริง
การใช้ Schema Markup / Structured Data และข้อมูล Structured ไม่ได้ช่วยแค่ให้ Google เข้าใจ แต่ยังช่วยให้ AI เข้าใจว่าเว็บเราคือใคร ทำอะไร และเชื่อถือได้แค่ไหน รวมถึงสรุปเนื้อหาเราไปใช้ได้ง่ายขึ้น เช่น บทความที่ใช้ FAQ, How-to หรือ Review ที่จัดโครงสร้างดี มีสิทธิ์สูงมากที่จะไปโผล่ในคำตอบ AI และยิ่งเนื้อหาของเราถูกอ้างถึงในหลายแหล่งมากเท่าไหร่ AI ก็จะยิ่งเลือกแบรนด์ของเรามาใช้เป็นคำตอบได้ง่ายขึ้น
4. Long-form + Skimmable Content ยังเวิร์ก
แม้คนจะไม่อยากอ่านยาว ๆ แต่ AI ต้องการข้อมูลแบบเจาะลึกไว้เรียนรู้
เทคนิคคือเขียนให้ลึก แต่แบ่งเนื้อหาให้อ่านง่าย มีหัวข้อย่อยที่ชัดเจน เพื่อให้คนเสพได้ง่าย และ AI ก็หยิบไปใช้ได้ไว
5. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ AI เพื่อดูว่าเว็บเราถูกพูดถึงแค่ไหน
การวิเคราะห์ SEO สมัยก่อนที่ใช้แค่ Google Search Console อาจไม่พออีกต่อไป
ลองใช้เครื่องมือใหม่ ๆ เช่น
- Perplexity Pages ใช้สำหรับดูว่ามีคนถามคำถามเกี่ยวกับแบรนด์หรือคอนเทนต์เราในแพลตฟอร์ม AI หรือไม่
- Brand24 หรือ BuzzSumo ถึงจะไม่ได้ดึงจาก AI โดยตรง แต่ก็ช่วยดูภาพรวมว่าคอนเทนต์ของเรากำลังถูกพูดถึงที่ไหนบ้าง ซึ่งอาจนำไปสู่การถูก AI นำไปใช้ต่อได้
- ChatGPT Mention Tracker เครื่องมือที่คอยสแกนบทสนทนาใน ChatGPT จากการให้ผู้ใช้งานช่วยส่งข้อมูล เพื่อดูว่ามีใครพูดถึงแบรนด์ของเราบ้าง
หลายแพลตฟอร์มเริ่มให้ข้อมูลว่าใครถามอะไร และเว็บไหนถูกใช้ในการตอบ ถ้ารู้ว่าแบรนด์เราติดในคำตอบไหนบ้าง เราจะรู้ทันทีว่าเราควรเสริมตรงไหนให้เป็น Top Answer
6. วัดผลการติดบน AI Search
ต่อให้เขียนดีแค่ไหน ถ้าวัดผลไม่ได้ก็ปรับไม่ถูก ปัจจุบัน Google ยังไม่แสดงข้อมูล AI Overview แยกใน Search Console แต่เราสามารถใช้วิธีเสริมได้ เช่น
- เก็บฟีดแบ็กจากลูกค้าโดยตรงว่าพวกเขาเจอเราจากที่ไหน
- ติด UTM พิเศษในแคมเปญที่ให้ AI อ้างอิง
- วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้จากหน้า Landing Page ที่มีแนวโน้มมาจากคำถาม AI
และในอนาคต เมื่อ AI Search กลายเป็นช่องทางหลัก เครื่องมือวิเคราะห์เหล่านี้จะกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
อ่านบทความที่น่าสนใจ : SEO Checklist อัปเดตใหม่ 2025 เทคนิคพิชิตหน้าแรก Google แบบง่าย ๆ ได้อย่างมืออาชีพ
อนาคตของ SEO ยังไม่จบ ปรับตัวให้ไวไปกับ Blupaper
AI ไม่ได้มาแย่งงาน SEO แต่เข้ามาเปลี่ยนวิธีเล่นเกมให้ท้าทายขึ้น จากการแย่งอันดับหน้าแรก เป็นใครทำให้ AI อยากพูดถึงได้มากกว่า เพราะ SEO ไม่ใช่แค่เรื่อง Traffic อีกต่อไป แต่เป็นการสร้าง Brand Authority บนโลกที่ AI ที่กลายมาเป็นผู้ช่วยค้นหาหลักของผู้คน
หากเราเองก็ใช้ AI เป็นผู้ช่วยวางแผนคอนเทนต์ ก็จะได้เปรียบในสนามใหม่นี้แบบยืนหนึ่ง เพราะในยุคที่ทุกคนใช้ AI ค้นหา คนที่เข้าใจ AI และสร้างคอนเทนต์ให้ AI หยิบไปใช้ได้ ถึงจะเป็นผู้ชนะ
และถ้าคุณอยากให้เว็บไซต์ยังคงมีตัวตนในโลกการค้นหายุคใหม่ที่ AI ครองเมือง Blupaper พร้อมพาคุณอัปเดตทุกเทรนด์ SEO แบบไม่มีตกยุค ตั้งแต่วางกลยุทธ์คอนเทนต์ให้ AI เลือกใช้ ปรับเว็บไซต์ให้เข้าใจง่าย ติดต่อเรา เพื่อชิงพื้นที่ในใจ AI ก่อนคู่แข่ง