ทำไมคนทำเว็บถึงไม่ควรมองข้าม SEO Audit

การทำ SEO Audit เป็นสิ่งสำคัญเพราะช่วยให้เว็บไซต์อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเพื่อติดอันดับการค้นหา โดยการตรวจสอบ โครงสร้าง เนื้อหา และประสิทธิภาพของเว็บไซต์ จะช่วยระบุและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อ SEO เช่น

  • ค้นหาจุดบกพร่องในเว็บไซต์ช่วยให้เราเจอข้อผิดพลาด ที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของเว็บไซต์ เช่น เนื้อหาซ้ำ ลิงก์เสีย หรือปัญหา Technical ที่ทำให้ Googlebot เข้าไม่ถึงเว็บ
  • ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ทำให้เรารู้ว่าเว็บโหลดช้าไปไหม หรือใช้งานบนมือถือยากหรือเปล่า (Mobile-Friendly) ซึ่งส่งผลต่ออันดับโดยตรง
  • เพิ่มการมองเห็นใน Googleการทำ SEO Audit อย่างถูกต้อง จะมีโอกาสติดหน้าแรกของ Google ดีขึ้น ส่งผลให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
  • หาโอกาสแซงคู่แข่งช่วยให้เห็นว่าเรายังขาดเนื้อหาส่วนไหน หรือมีจุดไหนที่ทำได้ดีกว่าคู่แข่ง
  • ประหยัดงบประมาณรู้ทันทีว่าต้องปรับปรุงหรือแก้ไขอะไรบ้าง ใช้งบได้ตรงจุด

อ่านบทความที่น่าสนใจ :เจาะลึก SEO Audit คืออะไร? วิธีตรวจและปรับเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google

4 ขั้นตอนสำคัญในการทำ SEO Audit

แน่นอนว่าการทำ SEO Audit ไม่ใช่การสุ่มเช็กไปเรื่อย ๆ เพราะมี Framework ที่สำคัญ 4 ส่วนด้วยกันที่จะต้องตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน

1. Technical SEO Audit

การตรวจสอบหลังบ้านของเว็บไซต์ เพื่อให้แน่ใจว่าโครงสร้างพื้นฐานพร้อมสำหรับทั้งผู้ใช้และ Googlebot เพราะต่อให้เนื้อหาดีแค่ไหน ถ้าโครงสร้างเว็บมีปัญหา เว็บไซต์ก็จะไม่ติดอันดับได้ง่าย

เราจึงต้องตรวจสอบจุดต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็น

  • การเข้าถึงเว็บไซต์ (Accessibility) ตรวจสอบลิงก์เสีย (404 errors) และลิงก์ที่ไม่ทำงาน
  • ความเร็วเว็บไซต์ (Speed)ทดสอบด้วย PageSpeed Insights หรือ GTmetrix
  • การใช้งานบนมือถือ (Mobile-FriendlyBacklink)ตรวจสอบด้วย Mobile-Friendly Test
  • ความปลอดภัย (HTTPS)ตรวจสอบว่ามี SSL Certificate ติดตั้งหรือไม่

2. On-Page & Content Audit

เมื่อโครงสร้างพร้อมแล้ว ขั้นต่อมาคือการวิเคราะห์หน้าบ้าน หรือเนื้อหาที่แสดงต่อผู้ใช้งานและ Google เพราะนี่คือส่วนที่บอกว่าเว็บไซต์ของเราพูดถึงเรื่องอะไร

จุดสำคัญในการตรวจสอบ เช่น

  • Keyword ตรวจสอบการใช้คีย์เวิร์ดใน Title, Meta Description และ Headers
  • Content Quality เนื้อหามีประโยชน์ ตรงประเด็น ไม่ซ้ำกับเว็บอื่น
  • Meta Tags Title และ Meta Description ควรมีคำสำคัญและดึงดูด
  • Header Tags ใช้ H1 เพียงหัวข้อหลักเดียว และจัดลำดับ H2–H6 ให้ถูกต้อง
  • Image Optimization ใส่ Alt Text ให้ภาพ และปรับขนาดไฟล์ให้เหมาะสม

3. Off-Page Audit

ส่วนนี้เน้นตรวจสอบชื่อเสียง และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในเรื่องของ Backlink ไม่ว่าจะเป็น

  • คุณภาพของ Backlinkตรวจสอบว่าเว็บไซต์ที่ลิงก์มาหาเรามีความเกี่ยวข้องและน่าเชื่อถือ
  • ลิงก์ขยะ (Toxic Links) ระวังลิงก์จากเว็บสแปมหรือเว็บที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจทำให้โดน Google ลงโทษ
  • การวิเคราะห์คู่แข่ง ศึกษาแหล่ง Backlink ของคู่แข่งเพื่อหาโอกาสสร้างลิงก์คุณภาพให้กับเว็บไซต์ของเรา

4. ตรวจสอบการทำงานของเว็บไซต์โดยรวม

ขั้นตอนสุดท้ายคือการทดสอบประสิทธิภาพโดยรวม และการติดตามผลลัพธ์ SEO อย่างต่อเนื่อง

  • Schema Markupใช้ Schema.org เพิ่มข้อมูลโครงสร้างในหน้าเว็บ
  • ติดตามผลการทำ SEOใช้ Google Analytics และ Google Search Console เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพ และปรับกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอ

อ่านบทความที่น่าสนใจ:E-E-A-T คืออะไร? เผยสูตรลับที่ Google ใช้จัดอันดับเว็บ

ทำ SEO Audit แล้วต้องทำอะไรต่อไหม?

หลังจากที่ทำ SEO Audit และได้ผลลัพธ์แล้วก็ต้องปรับปรุงเว็บไซต์ตามผลที่ได้ เพื่อให้ SEO ของเว็บไซต์มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เราได้สรุปวิธีการฉบับย่อที่มือใหม่ก็สามารถทำตามได้ง่าย ๆ มาให้แล้ว

1. จัดลำดับความสำคัญ

สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ตั้งสติว่าอย่าพยายามแก้ทุกอย่างในวันเดียว เราควรนำปัญหาทั้งหมดมาจัดลำดับความสำคัญก่อน โดยมองหาแผลใหญ่ (Critical Issues) ที่ต้องรีบแก้ด่วนที่สุดก่อน เช่น

  • หน้าสำคัญติด noindex ทำให้ Google ไม่เก็บข้อมูล
  • ไฟล์ robots.txt บล็อก Googlebot
  • เว็บล่มบ่อย หรือเว็บช้าจนใช้งานไม่ได้
  • ปัญหา HTTPS
  • คะแนน Core Web Vitals แดงเถือก

เมื่อจัดการกลุ่มที่ต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วนกันไปแล้ว ค่อยมาดูแลกลุ่มปัญหาที่สำคัญรองลงมา เช่น

  • ลิงก์เสีย
  • หัวข้อซ้ำซ้อน
  • เนื้อหาที่สั้นเกินไป

แม้สิ่งเหล่านี้จะส่งผลเสียต่ออันดับ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ทำให้เว็บพัง ส่วนปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ปรับปรุงก็ดี ไม่ปรับก็ไม่เป็นไร อย่างการบีบอัดรูปภาพ หรือการเติม Alt Text ที่ขาดไปบางรูป เก็บไว้ทำเป็นลำดับท้ายเมื่อมีเวลาว่างจะดีที่สุด

2. ลงมือแก้ไข

หลังจากเรารู้ลำดับก่อนหลังแล้ว ก็ถึงเวลาเปลี่ยนลิสต์ปัญหาเหล่านั้นให้เป็นแผนงานที่ทำได้จริง โดยต้องตอบให้ชัดว่า

  • ใครเป็นคนทำ เช่น การเขียน Title ใหม่ และการเพิ่ม Alt Text เราสามารถทำเองได้ ส่วนการแก้โค้ดที่ทำให้เว็บช้า หรือปรับ Server อาจต้องจ้างโปรแกรมเมอร์
  • จัดการเมื่อไหร่ พร้อมกำหนด Deadline ให้ชัดเจน เช่น ต้องแก้ Broken Links ทั้งหมด ภายในสัปดาห์นี้

นอกจากนี้ ควรแบ่งงานใหญ่ให้เป็นงานเล็ก ๆ จะช่วยให้เราลงมือทำได้จริงและไม่หมดไฟไปเสียก่อน

3. ตรวจสอบซ้ำและวัดผล

เมื่องานแก้ไขเสร็จสิ้น อย่าลืมกลับไปตรวจสอบซ้ำ ด้วยเครื่องมือเดิมสแกนดูว่าปัญหาหายไปจริงไหม คะแนน Health Score ดีขึ้นหรือยัง

และที่สำคัญที่สุดคือการวัดผล ให้กลับไปดูใน Google Search Console ว่า

  • อันดับ (Position) ของคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องดีขึ้นไหม
  • ยอดคลิก (Clicks) และการมองเห็น (Impressions) เพิ่มขึ้นหรือไม่
  • คะแนน Core Web Vitals ใน GSC เปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือยัง

แต่อย่าเพิ่งใจร้อนเกินไปและทำใจอดทนรอ Google ประมาณ 1-4 สัปดาห์ในการเข้ามาเก็บข้อมูลซ้ำและประมวลผลสิ่งที่เราได้แก้ไขไปเสียก่อน

4. ทำให้เป็น Routine

SEO Audit ไม่ใช่สิ่งที่ทำครั้งเดียวจบ เพราะเราควรจะทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยควรมีการตรวจสอบย่อย (Mini-Audit) ทุกเดือน และการตรวจสอบใหญ่ (Full Audit) ทุก 6-12 เดือน เพื่อให้เว็บไซต์ของเราสุขภาพดี พร้อมแข่งขันชิงอันดับที่ดีที่สุดตลอดเวลา

เปิดกรุเครื่องมือ SEO Tools ฟรี ที่โปรเลือกใช้!

การทำ SEO Audit ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพื่อใช้เครื่องมือเสมอไป เพราะในปัจจุบันมีเครื่องมือ SEO ฟรีหลายตัวที่ช่วยให้เราตรวจสอบเว็บไซต์และปรับปรุง SEO ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย Blupaper ขอแนะนำเครื่องมือฟรี แต่มีคุณภาพสูง

google search console เครื่องมือ seo จาก google

Google Search Console

เป็น SEO Checker จาก Google ที่รายงานสถานะการทำดัชนี (Indexing) แจ้งเตือนข้อผิดพลาด และแสดงประสิทธิภาพคำค้นหา (Keyword Performance) ของเว็บไซต์ ทั้งจำนวนการคลิก (Clicks), การแสดงผล (Impressions) และคำค้นหาที่ทำให้เว็บไซต์ปรากฏเพียงแค่ใส่ URL ของเว็บไซต์ที่ GTmetrix ก็จะได้รับการวิเคราะห์

โดยสามารถสมัครใช้งานได้ที่Google Search Console จากนั้นเพิ่ม Domain ลงในระบบ และยืนยันตัวตน พร้อมเพิ่มผู้ดูแลเว็บไซต์ก็เริ่มใช้งานได้เลย

google pagespeed insights seo tools สำหรับวัดความเร็วเว็บไซต์

Google PageSpeed Insights

อีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญจาก Google ที่ใช้วัดความเร็วของหน้าเว็บทั้งใน Desktop และ Mobile โดยเฉพาะคะแนน Core Web Vitals ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ Google ใช้ตัดสินอันดับจริงในการให้คะแนนความเร็วพร้อมข้อแนะนำในการปรับปรุงที่ชัดเจน

การใช้งานก็ง่าย ๆ เพียงเข้าไปที่ PageSpeed Insights แล้วกรอก URL เว็บไซต์ เครื่องมือก็จะให้คะแนนและคำแนะนำทันที

gtmetrix เครื่องมือวิเคราะห์ประสิทธิภาพเว็บไซต์แบบละเอียด

GTmetrix

สำหรับคนที่อยากวิเคราะห์ประสิทธิภาพความเร็วแบบเจาะลึก GTmetrix จะให้ข้อมูล Waterfall Chart ที่แสดงให้เห็นว่าแต่ละองค์ประกอบของหน้าเว็บ เช่น รูปภาพ และสคริปต์ ว่าใช้เวลาโหลดนานแค่ไหน ให้เราเข้าใจได้ง่าย ๆ พร้อมบอกวิธีแก้ไข เพียงใส่ URL เว็บไซต์ลงใน GTmetrix ก็จะได้รายงานการโหลดของหน้าเว็บทันที

ahrefs webmaster tools เครื่องมือ seo เวอร์ชันฟรีที่ฟีเจอร์ครบถ้วน

Ahrefs Webmaster Tools

Ahrefs Webmaster Tools (AWT) คือเครื่องมือ SEO ฟรีที่ให้เข้าถึงฟีเจอร์สำคัญอย่าง Site Explorer และ Site Audit โดยสามารถสแกนเว็บไซต์เพื่อค้นหาปัญหา Technical SEO จำนวนมาก พร้อมดูโปรไฟล์ Backlink ได้

semrush เครื่องมือตรวจสอบ on page seo audit อย่างครอบคลุม

SEMrush Site Audit

SEMrush เองก็มีเครื่องมือ Site Audit ที่ทรงพลังเช่นกัน โดยจะเน้นตรวจสอบ On-Page SEO เช่น การใช้คีย์เวิร์ด Meta Tags Internal Linking และความถูกต้องของหน้า ช่วยให้เห็นจุดที่ต้องปรับปรุงในเว็บไซต์ได้อย่างชัดเจน แต่เวอร์ชันฟรีจะจำกัดการสแกนไว้ที่ 10 หน้าเว็บ จึงเหมาะสำหรับการสุ่มเช็กหน้าที่สำคัญ ๆ หรือเช็กหน้า Landing Page ที่เราโฟกัส มากกว่าการทำ Audit ทั้งเว็บ โดยสามารถลงทะเบียนบัญชีได้ที่ SEMrush และเริ่มใช้งาน Site Audit ฟรี 10 หน้าได้เลย

screaming frog เครื่องมือสำหรับ crawl เว็บไซต์และหาปัญหา technical seo

Screaming Frog

Screaming Frog โปรแกรมสำหรับ Crawl เว็บไซต์เพื่อค้นหาปัญหาที่เกี่ยวกับ Technical SEO โดยเฉพาะ ด้วยการสแกนเว็บไซต์อย่างละเอียด เพื่อค้นหาปัญหาทางเทคนิคที่อาจทำให้เว็บจัดอันดับได้ไม่ดี เช่น ลิงก์ที่เสีย การตั้งค่า URL ผิด หรือตรวจสอบ Meta Tags/Headings ทั้งเว็บ

โดยเราสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมมาติดตั้งและสั่ง Crawl เว็บไซต์ได้ทันที อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันฟรีจำกัดการสแกนไว้ที่ 500 URLs ซึ่งเพียงพอสำหรับเว็บขนาดเล็กถึงกลาง แต่หากต้องการสแกนมากกว่านั้น จะต้องอัปเกรดเป็นเวอร์ชันเสียค่าใช้จ่าย

อ่านบทความที่น่าสนใจ:อัปเดตล่าสุด! 10 Tool ทำ SEO ปี 2025 ที่นักการตลาดมือโปรเลือกใช้

ปรับอันดับเว็บไซต์ง่าย ๆ แต่ได้ผลแบบโปร

การทำ SEO Audit คือการตรวจสอบและประเมินสถานะ SEO ของเว็บไซต์เพื่อหาจุดที่ต้องปรับปรุง ซึ่งจะช่วยเพิ่มการมองเห็นให้เว็บไซต์ของเราใน Google และทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกขึ้น แต่การลงมือแก้ไข Technical SEO ไปจนถึง On-Page อาจต้องใช้เวลาและความเชี่ยวชาญ

หากคุณกำลังมองหาทางลัดในการดันเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google Blupaper มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมเข้ามาช่วยตรวจสอบ วิเคราะห์ และวางแผน Roadmap การแก้ไขให้ครบทุกด้าน ปรึกษา Blupaper ฟรี!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SEO Audit

Q: มือใหม่ทำ SEO Audit เองจะยากไปไหม?

A: มือใหม่สามารถเริ่มต้นใช้เครื่องมือฟรีที่แนะนำไว้ได้ เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะแจ้งเตือนปัญหาและบอกวิธีแก้เบื้องต้นให้เห็นชัดเจน แต่ในส่วนการลงมือแก้ไขปัญหาเชิงเทคนิค อาจต้องจ้างโปรแกรมเมอร์

Q: จำเป็นต้องใช้ SEO Tools แพง ๆ เพื่อทำ Audit หรือไม่?

A: ไม่จำเป็น คุณสามารถใช้เครื่องมือฟรีที่แนะนำไปข้างต้นได้ โดยเฉพาะการใช้ Google Search Console ร่วมกับ Ahrefs Webmaster Tools (AWT) ที่ให้สแกนฟรีถึง 10,000 หน้าเพื่อตรวจสอบ Technical SEO เชิงลึก และ Google PageSpeed Insights สำหรับวัดความเร็วเว็บไซต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการทำ Audit ระดับมืออาชีพแล้ว

Q: เมื่อไหร่ที่ควรอัปเกรดเป็น SEO Tools แบบเสียเงิน?

A: การ Audit เว็บไซต์ของตัวเอง การใช้เครื่องมือฟรีนั้นเพียงพอแล้ว แต่อาจพิจารณาอัปเกรดเป็นเวอร์ชันเสียเงินก็ต่อเมื่อ

  • ต้องการเช็ก Backlink, Keyword และอันดับของคู่แข่งได้อย่างไม่จำกัด
  • ต้องการทำ Keyword Research ขั้นสูง อย่างการหาลำดับความยากง่ายของคีย์เวิร์ด หรือไอเดียคอนเทนต์ใหม่ ๆ
  • ต้องการติดตามอันดับ (Rank Tracking) ให้ระบบส่งรายงานอันดับคีย์เวิร์ดของคุณทุกวัน

Q: Technical SEO กับ On-Page SEO ควรให้ความสำคัญกับอะไรก่อน?

A: ควรให้ความสำคัญกับ Technical SEO ก่อน เพราะ Technical SEO คือโครงสร้างรากฐาน ส่วน On-Page SEO คือเนื้อหา หากรากฐานพัง เช่น Googlebot เข้าเว็บไม่ได้ เว็บช้าจนคนหนี ต่อให้มีเนื้อหาดีแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ต้องซ่อมรากฐานให้แข็งแรงก่อนเสมอ

Q: ใช้แค่ Google Search Console อย่างเดียวในการทำ SEO Audit พอไหม?

A: การใช้ Google Search Console เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับการ Audit เชิงลึก เพราะ GSC เก่งด้านการรายงานปัญหาที่ Google พบ แต่ไม่ใช่เครื่องมือสแกน (Crawler) ที่จะไล่ตรวจสอบทุกหน้าในเว็บไซต์ของคุณเพื่อหาปัญหา On-Page ได้ การใช้เครื่องมืออื่น ๆ อย่าง Ahrefs Webmaster Tools หรือ Screaming Frog ร่วมด้วยจะทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่า