Call-to-Action คืออะไร?

Call to Action หรือ CTA คือ องค์ประกอบบนเว็บไซต์ที่คอยทำหน้าที่กระตุ้นให้ผู้ใช้งานทำบางสิ่งต่อหลังจากอ่านเนื้อหาเสร็จผ่านเจ้า CTA ที่ทำตัวเป็นคำสั่งต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการคลิกปุ่ม สมัครสมาชิก เพิ่มสินค้าลงตะกร้า หรือกรอกแบบฟอร์ม ผ่าน CTA ที่ทำตัวเป็นคำสั่งต่อเนื่องที่พาให้ผู้ใช้งานเดินหน้าไปสู่ขั้นตอนถัดไปในเส้นทางการตัดสินใจของพวกเขานั่นเอง

เปรียบเทียบให้เห็นภาพได้ว่า เว็บไซต์ที่ไม่มี CTA ก็เหมือนร้านค้าที่เปิดประตูไว้ให้คนเดินเข้าได้ แต่ไม่มีใครบอกว่าต้องไปชำระเงินตรงไหน หรือสั่งซื้อยังไง ในขณะที่เว็บไซต์ที่มี CTA ชัดเจนเหมือนมีพนักงานขายที่รู้จังหวะพูดพอดี ไม่ต้องพูดเยอะ ลูกค้าก็คลิกแล้ว

CTA ที่ดีจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการออกแบบเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความเข้าใจเจตนาของผู้ใช้ในแต่ละช่วงของการเดินทางบนเว็บไซต์ด้วย เช่น

  • ถ้าเพิ่งรู้จักแบรนด์ ควรใช้ CTA อย่าง “ดูรายละเอียดเพิ่มเติม”
  • ถ้าเริ่มสนใจแล้ว ใช้ “ทดลองใช้ฟรี” หรือ “ดาวน์โหลดคู่มือ”
  • ถ้าพร้อมซื้อแล้ว ใช้ “สั่งซื้อตอนนี้” หรือ “เริ่มต้นเลย”

สรุปได้ว่า Call to Action ที่มีประสิทธิภาพก็คือ CTA ที่เข้าใจจังหวะของผู้ใช้ในแต่ละช่วง และพาเขาไปต่อจนถึง Conversion ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

องค์ประกอบหลักของ Call-to-Action

การสร้าง CTA ที่ดึงดูดใจจนใคร ๆ ก็อยากคลิกต้องคิดอย่างรอบด้าน ตั้งแต่คำที่ใช้ สีที่เลือก ไปจนถึงตำแหน่งที่วาง เพราะแต่ละองค์ประกอบล้วนมีผลต่อการตัดสินใจที่เราควรเข้าใจและออกแบบให้ครบทุกจุด

1. ข้อความ (Copy)

Copywriting คือหัวใจของ Call to Action เพราะเป็นสิ่งแรกที่ผู้ใช้จะอ่านก่อนตัดสินใจกดคลิก
ดังนั้น ข้อความ CTA ที่ดีควรสั้น กระชับ และสื่อสารตรงไปตรงมา เช่น

  • สมัครเลย
  • ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
  • ดาวน์โหลดฟรี
  • เริ่มใช้งานตอนนี้

จะเห็นว่า คำเหล่านี้ไม่ใช่แค่บอกสิ่งที่ต้องทำ แต่ยังสื่อถึงประโยชน์ที่ผู้ใช้จะได้รับด้วย เช่น ทดลองใช้ฟรี 14 วัน หรือ รับส่วนลดทันที 10% เพราะการใช้คำพูดที่เน้นผลลัพธ์ชัดเจน จะดึงดูดใจได้ดีกว่าคำสั่งแบบทั่ว ๆ ไป

2. สีและดีไซน์ของปุ่ม

สีก็เป็นอีกสิ่งที่ดึงสายตาผู้ใช้ได้ดี การทำปุ่ม Call to Action จึงควรมีสีที่ตัดกับพื้นหลังชัดเจน เพื่อให้โดดเด่น มองเห็นง่าย และทางที่ดีด้วยจะต้องสะท้อนบุคลิกของแบรนด์ด้วย เช่น

  • สีแดงหรือส้ม ให้ความรู้สึกเร่งด่วนและกระตุ้นการคลิก
  • สีเขียวให้ความรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจ
  • สีฟ้าให้ความรู้สึกน่าเชื่อถือ เหมาะกับธุรกิจบริการหรือเทคโนโลยี

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมนึกถึงความสอดคล้องกับภาพรวมของเว็บไซต์ หากออกแบบปุ่มที่เด่น แต่ขัดกับโทนสีแบรนด์เกินไป อาจทำให้ดูไม่มืออาชีพได้

3. ตำแหน่งการวาง

แม้จะคิด Copy พร้อมออกแบบ Call to Action มาดีแค่ไหน แต่ถ้าวางผิดที่ก็ไม่มีประโยชน์ เราควรเลือกตำแหน่งของ CTA ให้อยู่ในจุดที่ผู้ใช้เห็นได้ทันที โดยไม่ต้องเลื่อนหน้าจอมากนัก เช่น

  • เหนือส่วนเนื้อหาหลักของหน้าเว็บ หรือบริเวณแรกสุดของหน้าเว็บที่เห็นได้ทันที
  • ด้านล่างเนื้อหาสำคัญ
  • ช่วงสรุปตอนท้ายบทความ หรือหลังข้อความขายที่โน้มน้าวแล้ว

หรืออาจจะใช้ CTA ซ้ำในหลายจุด ทั้งในตอนต้นและตอนท้ายหน้า เพื่อให้ผู้ใช้มีโอกาสตัดสินใจได้ทุกจังหวะก็สามารถทำได้เช่นกัน

4. ช่องว่างและองค์ประกอบรอบข้าง

พื้นที่ว่างรอบปุ่ม Call to Action จะยิ่งส่งให้ปุ่มดูโดดเด่นขึ้น เพราะการเว้นระยะห่างระหว่าง CTA กับองค์ประกอบอื่น เช่น รูปภาพ หรือข้อความยาว ๆ จะช่วยให้สายตาผู้ใช้โฟกัสที่ปุ่มได้ง่ายกว่า รวมถึงคำนึงถึงองค์ประกอบเสริมอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ไอคอนลูกศร หรือรูปภาพคนที่มองไปทางปุ่ม ก็ช่วยดึงสายตาไปยัง CTA ได้ดีไม่น้อย

5. ความชัดเจนของ Action

Call to Action ต้องชัดว่าต้องการให้ผู้ใช้ทำอะไร และจะได้อะไร ถ้าผู้ใช้ต้องคิดก่อนคลิกก็แสดงว่า CTA ของเราอาจจะยังไม่ชัดพอ อาจลองปรับให้สื่อสารได้ชัดเจน ตรงเป้าขึ้น เช่น

  • สมัครฟรีตอนนี้ เริ่มต้นได้ทันที
  • รับคู่มือ SEO ฟรี

หากมีองค์ประกอบเหล่านี้ครบ ก็เหมือนวางรากฐาน CTA มาดี รับรองว่าดึงดูดสายตา เร้าใจคนดูจนอยากคลิกรัว ๆ แน่นอน

อ่านบทความที่น่าสนใจ: UX/UI ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง! ทำเว็บไซต์อย่างไรให้ปิดการขายง่ายขึ้น

ความสำคัญของ cta

CTA สำคัญอย่างไร?

CTA หรือ Call to Action ไม่ใช่แค่ปุ่ม “สมัครเลย” หรือ “กดที่นี่” แต่จริง ๆ แล้วเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนพฤติกรรมของผู้ใช้ รู้หรือไม่ว่า เว็บไซต์ที่มี CTA ชัดเจนมักมี Conversion สูงกว่าเว็บทั่วไปหลายเท่า? มาดูความสำคัญของ Call-to-Action กัน

  • สร้างการกระทำ (Action)CTA คือจุดที่เปลี่ยนคนดูให้กลายเป็นผู้ลงมือ เช่น จากการอ่าน เป็นการซื้อหรือสมัคร
  • ลดการสูญเสียทราฟฟิกถ้าไม่มี CTA คนเข้ามาเว็บแล้วออกไปเฉย ๆ ไม่มีการเปลี่ยนกลับมาเป็นลูกค้า
  • เสริมประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) CTA ช่วยให้ผู้ใช้รู้ว่าควรทำอะไรต่อ ไม่สับสนระหว่างการใช้งาน
  • ส่งผลดีต่อ SEO ทางอ้อมเมื่อผู้ใช้มี Engagement สูง อยู่ในหน้านาน คลิกต่อเนื่อง Google จะมองว่าเว็บมีคุณภาพ
  • สะท้อนบุคลิกของแบรนด์Text หรือ Copy ที่เลือกใช้ทำ CTA เช่น “สมัครเลย” หรือ “ทดลองใช้ฟรี” ถ่ายทอดโทนเสียงและภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ดี
  • เพิ่ม Conversion อย่างเป็นระบบเว็บไซต์ที่มี CTA ชัดเจนและวางถูกจุด จะนำผู้ใช้ไปจนถึงการตัดสินใจได้อย่างต่อเนื่อง

9 เทคนิคสร้าง CTA ให้น่าอยากคลิก

ปุ่ม CTA ไม่ได้มีไว้แค่สวยหรือครบองค์ประกอบในหน้าเว็บ แต่มันคือตัวชี้ชะตาของ Conversion ทั้งหมดในแคมเปญของคุณ เพราะเพียงข้อความหรือสีที่ต่างไปนิดเดียว อาจเพิ่มยอดคลิกได้หลายเท่าตัว มาดู 9 เทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ CTA ของเว็บไซต์โดดเด่น ดึงดูด และน่าอยากคลิกกว่าที่เคย

1. ใช้คำกระชับแต่กระตุ้น

CTA ที่ดีไม่ควรเกิน 4-5 คำ และสื่อสารชัดเจนในสิ่งที่อยากให้คนทำ เพื่อให้สมองประมวลผลเร็วขึ้น เช่น

  • สมัครฟรีตอนนี้
  • ซื้อเลย
  • ดาวน์โหลดเลย
  • รับสิทธิ์พิเศษทันที

เพราะการเลือกใช้คำที่เน้นการลงมือทำ (Action verbs) จะทำให้คนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างรออยู่ข้างหน้า เช่น รางวัล ส่วนลด หรือสิทธิพิเศษ ยิ่งเข้าใจง่าย ยิ่งมีโอกาสคลิกมากขึ้น คำเหล่านี้ไม่เพียงแค่สั้น จำง่าย แต่ยังสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการคลิกทันทีได้อีกด้วย

2. แทรกโปรโมชัน

โปรโมชันคือแม่เหล็กดูดคลิกชั้นดี คนเราจะตัดสินใจคลิกง่ายขึ้นเมื่อมีแรงจูงใจและเห็นคุณค่าชัดเจน เช่น

  • จาก 1,990 บาท เหลือ 990 บาท
  • ทดลองใช้ฟรี 7 วัน
  • Lifetime Access ไม่จำกัดเวลา

นอกจากจะสร้างความรู้สึกคุ้มค่าแล้ว ยังช่วยให้ปุ่มโดดเด่นขึ้นอีกด้วย

3. สื่อสารด้วยโทนที่เป็นมิตร เข้าถึงง่าย

หลีกเลี่ยงคำที่เป็นทางการหรือเย็นชาเกินไป แต่ควรจะหันมาใช้ CTA ที่มีโทนอบอุ่นให้คนรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจเรา เช่น

  • โปรโมชันนี้สำหรับคุณเท่านั้น
  • กดรับส่วนลดพิเศษของคุณเลย
  • มาลองเริ่มต้นไปด้วยกัน

CTA แบบมิตรภาพจะสร้างความไว้วางใจ เหมาะกับแบรนด์สายบริการ การศึกษา หรือธุรกิจที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์อบอุ่น และช่วยเพิ่ม Conversion ได้อย่างเห็นผล

4. ใช้เทคนิค FOMO

FOMO (Fear of Missing Out) คือเทคนิคที่เล่นกับการกลัวพลาดของมนุษย์ ทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าไม่รีบตอนนี้ จะเสียโอกาสดี ๆ ไป เช่น

  • เหลือเวลาอีกเพียง 24 ชั่วโมง
  • รับฟรีเฉพาะวันนี้เท่านั้น
  • ของมีจำนวนจำกัด

เทคนิค FOMO จะยิ่งได้ผลดีเยี่ยมโดยเฉพาะในแคมเปญโปรโมชันหรือการเปิดตัวสินค้า

cta แบบมีรูปภาพดึงดูดสายตาได้ดีกว่า

5. ใช้รูปภาพหรือดีไซน์ช่วยเสริม CTA

ไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับปุ่มมาตรฐานเสมอไป ลองฝังข้อความ CTA ลงในภาพสินค้า เพื่อเพิ่มความโดดเด่นดู เพราะภาพที่ดึงดูดสายตาพร้อมดีไซน์ที่ชัดเจน จจะช่วยเพิ่ม CTR หรืออัตราคลิกได้มากกว่า 2–3 เท่าในบางเคสเลยทีเดียว เช่น

  • ภาพสินค้าพร้อมข้อความ “TRY IT FOR FREE”
  • แบนเนอร์พร้อมปุ่ม “รับส่วนลดทันที”
  • ปุ่มบน Landing Page แบบเคลื่อนไหว (Animated CTA)

6. ใช้ Personalized Content

CTA เดียวอาจไม่เหมาะกับทุกคน การปรับข้อความให้ตรงตามความสนใจของลูกค้าแต่ละกลุ่ม จะทำให้ข้อความดูเกี่ยวข้อง และมีโอกาสคลิกสูงกว่า เพราะ Personalization จะทำให้ CTA ดูเหมือนพูดกับลูกค้าโดยตรง เพิ่ม Engagement และ Conversion ได้เป็นอย่างดี เช่น

  • สำหรับคนที่ยังไม่เคยเข้าเว็บ “ทดลองใช้ฟรีตอนนี้”
  • สำหรับคนที่เป็นสมาชิกอยู่แล้ว “อัปเกรดแพ็กเกจของคุณ”

7. ใช้ Layout และสีให้ดึงสายตา

ดีไซน์มีผลต่อพฤติกรรมการคลิกโดยตรง เพราะคนมักคลิกสิ่งที่เห็นได้ชัดและอยู่ถูกที่ถูกเวลา เช่น

  • ใช้สีปุ่มที่ตัดกับพื้นหลัง เช่น สีเขียวบนพื้นสีขาว หรือสีส้มบนพื้นสีฟ้า
  • วาง CTA ไว้เหนือส่วนเนื้อหาหลัก และซ้ำอีกครั้งตอนจบเนื้อหาลองใช้คำว่า “ส่งข้อมูลเลย”, “ชำระเงิน” หรือ “เริ่มต้นใช้งานฟรี”
  • ใช้พื้นที่ว่างรอบปุ่มช่วยให้ CTA ดูโดดเด่นมากขึ้น

8. หลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิค

CTA ต้องเข้าใจได้ใน 1 วินาที ด้วยการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ที่ช่วยให้มี Conversion สูง เช่น
แทนที่จะเขียนด้วยคำเทคนิคอย่าง “Submit” หรือ “Proceed” ทำให้ผู้ใช้ต้องคิดก่อนคลิก อาจทำให้พวกเขาปิดหน้าหนีไปแทน ลองใช้คำว่า “ส่งข้อมูลเลย” , “ชำระเงิน” หรือ “เริ่มต้นใช้งานฟรี”
เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่อยากแปลข้อความก่อนกดปุ่ม

9. ทดลองและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

ไม่มี CTA แบบไหนที่ได้ผลตลอดไป ควรทำ A/B Testing เปรียบเทียบข้อความ สี หรือขนาดปุ่ม แล้ววัดผลด้วยเครื่องมืออย่าง Hotjar จากนั้นปรับตามข้อมูลจริง เพื่อให้ Conversion Rate ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนอยู่เสมอ

เปลี่ยนยอดคลิกเป็นยอดขายได้ด้วยปุ่มเดียว

Call to Action คือเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังมากกว่าที่คิด เพราะหากเราเข้าใจแก่นหลักแล้ว ปุ่ม CTA ก็ไม่ใช่แค่ปุ่มอีกต่อไป แต่เป็นตัวแทนของแบรนด์ที่พูดกับลูกค้าในจังหวะที่สำคัญที่สุด เพราะสุดท้ายแล้ว CTA ที่ดี ไม่ใช่แค่ทำให้คนคลิก แต่ต้องทำให้คนรู้สึกว่าอยากคลิกด้วยตัวเอง

อย่าปล่อยให้ลูกค้าแค่อ่านแล้วผ่านไป แต่ต้องทำให้เขาอ่านแล้ว ‘อยากคลิก’ Blupaperพร้อมช่วยคุณวางแผนและออกแบบ CTA ให้สอดคล้องกับธุรกิจ ตั้งแต่ Copy ที่ดึงดูดสายตา ไปจนถึงการวิเคราะห์จุดคลิกจริงบนเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มอัตรา Conversion อย่างวัดผลได้

ติดต่อเรา เพื่อปรึกษาทีม Blupaper ฟรี

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CTA

Q: ควรวาง CTA ไว้ตรงไหนของหน้าเว็บดีที่สุด?

A: ไม่มีจุดตายตัว แต่มีหลักง่าย ๆ คือ วาง CTA เหนือ Flow ให้เห็นตั้งแต่เปิดหน้าเว็บ และหลังเล่า Value Proposition หรือสรุปจุดขายหลัก รวมถึงในหน้า Landing Page ที่ยาว ควรมี CTA แทรกเป็นช่วง ๆ เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ต้องเลื่อนกลับขึ้นไป

Q: หน้าหนึ่งควรมี CTA กี่ปุ่มถึงจะพอดี?

A: ควรมี 1 เป้าหมายหลักต่อหน้า ในกรณีที่มีหลาย CTA ให้แยกระดับความสำคัญชัดเจน เช่น ปุ่มหลักอย่าง “ทดลองใช้ฟรีตอนนี้” และปุ่มรองอย่าง “ดูรายละเอียดเพิ่มเติม” การจัดลำดับแบบนี้จะช่วยให้ผู้ใช้ไม่สับสนว่าควรทำอะไรก่อน

Q: CTA ต้องมีในทุกหน้าเว็บไหม?

A: ควรมีทุกหน้า เพราะทุกเนื้อหาควรนำผู้ใช้ออกไปสู่การกระทำบางอย่าง แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นการขายเสมอไป

Q: ปุ่ม CTA ที่ใช้ในโฆษณา Facebook ควรต่างจากในเว็บไซต์ไหม?

A: แนะนำให้ปรับโทนให้เข้ากับเจตนาของคนบนแพลตฟอร์มนั้น ๆ เช่น บน Facebook คนยังอยู่ในโหมดสำรวจ ควรใช้คำ CTA ที่เบา เช่น “ดูเพิ่มเติม” หรือ “ลองเลยฟรี” แต่ในเว็บไซต์ คนจะอยู่ในโหมดตัดสินใจแล้ว การใช้คำอย่าง “สั่งซื้อเลย” หรือ “เริ่มต้นตอนนี้” จะได้ผลดีกว่า

Q: ต้องทำ A/B Test ปุ่ม CTA ไหม?

A: จำเป็นมาก โดยเฉพาะถ้าเว็บไซต์เน้น Conversion เช่น การขายสินค้า หรือเก็บข้อมูลลูกค้า

การทดสอบข้อความ สี และตำแหน่งปุ่ม จะช่วยให้รู้ว่าผู้ใช้ตอบสนองต่อแบบไหนมากที่สุด และช่วยเพิ่มยอดคลิก (CTR) ได้จริงจากข้อมูลจริง