Google Algorithm คืออะไร?
คำว่า Algorithm หมายถึง กระบวนการหรือสูตรคำนวณที่ระบบใช้ในการแก้ปัญหา ดังนั้นสำหรับ Google แล้ว Google Algorithm คือ ชุดของกฎและระบบคำนวณที่ Google ใช้ในการจัดลำดับเว็บไซต์ในหน้าผลการค้นหา (Search Results) เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับคำตอบที่ดีที่สุดจากฐานข้อมูลมหาศาลบนอินเทอร์เน็ต
พูดง่าย ๆ ว่า Algorithm ก็คือสมองของ Google ที่คอยคัดกรองว่าเว็บไซต์ไหนมีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้กำลังค้นหามากที่สุดนั่นเอง
Google ใช้อัลกอริทึมทำอะไรในการจัดอันดับเว็บบ้าง?
- วิเคราะห์ความเกี่ยวข้องของเนื้อหากับคำค้นหา
- ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
- วัดประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ (User Experience)
- ปรับผลลัพธ์ให้สอดคล้องกับเจตนาการค้นหา (Search Intent)
เพื่อให้หน้าแรกของ Google เต็มไปด้วยเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาดี ตอบโจทย์ และน่าเชื่อถือมากที่สุดในสายตา AI ของ Google

ทำไม Google Algorithm ถึงสำคัญต่อ SEO
จะเห็นว่า Algorithm คือ กรรมการใหญ่ที่ตัดสินว่าเว็บของเราจะติดหน้าแรกหรือหล่นลงไปหน้าอื่นของ Google การเข้าใจการทำงานของอัลกอริทึม จึงเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำ SEO เพราะถ้าเรารู้ว่า Google ใช้อะไรในการจัดอันดับ ก็จะรู้ว่าต้องปรับเว็บแบบไหนให้ Google รัก
อ่านบทความที่น่าสนใจ :SEO Checklist อัปเดตใหม่ 2025 เทคนิคพิชิตหน้าแรก Google แบบง่าย ๆ ได้อย่างมืออาชีพ
อัลกอริทึมของ Google มีกี่แบบ ทำหน้าที่อะไรบ้าง?
Google มีอัลกอริทึมหลายตัวที่ทำงานร่วมกันแบบซับซ้อน แต่มารู้จักตัวหลัก ๆ ที่สาย SEO ต้องรู้กัน
1. Google Panda เน้นคุณภาพของคอนเทนต์
คอยคัดกรองเว็บไซต์ที่มีคอนเทนต์ไม่มีคุณภาพ หรือคอนเทนต์ลอก ถ้าเว็บของเรามีเนื้อหาดี มีประโยชน์ ไม่ซ้ำใคร เจ้า Algorithm Panda จะให้คะแนนสูงขึ้น พร้อมปัดฝุ่นให้ขึ้นหน้าแรกเองเลย
2. Google Penguin ตรวจสอบ Backlink
เน้นจัดการเว็บที่ใช้ Backlink ปลอม หรือมีลิงก์จากเว็บสแปม เพราะ Google ให้ความสำคัญกับ คุณภาพของลิงก์มากกว่าปริมาณถ้าเคยซื้อ Backlink มายิงมั่ว ๆ ล่ะก็ต้องระวังไว้! เพราะ Algorithm Penguin จะสแกนหาลิงก์ที่มาจากเว็บสแปม แล้วลดอันดับทันที
3. Google Hummingbird เข้าใจเจตนาผู้ค้นหา
ทำให้ Google เข้าใจภาษาธรรมชาติ (Natural Language) หรือคำพูดแบบมนุษย์ได้ดีขึ้น เช่น เมื่อมีคนเสิร์ชว่า “ร้านกาแฟใกล้ฉัน” ระบบจะเข้าใจว่าเป็นคำถามที่ต้องการสถานที่ ไม่ใช่การหาความหมายของร้านกาแฟ
4. RankBrain / BERT / Helpful Content
ยุคใหม่ของ Google ที่ใช้ AI เป็นสมองในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้และคุณค่าของเนื้อหามากขึ้น มันไม่แค่ดูว่าเว็บไซต์ของเรามีคีย์เวิร์ดไหม แต่ยังดูอีกว่าคนอ่านรู้สึกยังไงกับเนื้อหานั้น ไม่ว่าจะเป็น อ่านจนจบไหม? อยู่ในเว็บนานหรือเปล่า? แชร์ต่อไหม? ดังนั้นเว็บไซต์ที่มีประสบการณ์จริง (E-E-A-T) มีความน่าเชื่อถือ และช่วยผู้ใช้ได้จริงจะได้อันดับดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อ่านบทความที่น่าสนใจ :E-E-A-T คืออะไร? เผยสูตรลับที่ Google ใช้จัดอันดับเว็บ

ปัจจัยการจัดอันดับเว็บไซต์มีอะไรบ้าง?
Google ใช้หลายร้อยสัญญาณในการจัดอันดับเว็บ แต่ปัจจัยหลัก ๆ ที่ควรโฟกัสมีดังนี้
1. เนื้อหาคุณภาพ
เพราะ Google ต้องการให้ผู้ใช้ได้คำตอบที่ดีที่สุด
- ตอบโจทย์ผู้ค้นหาได้จริง เนื้อหาควรตรงกับเจตนาของการค้นหา (Search Intent) เช่น คนค้น “วิธีปลูกต้นไม้ในบ้าน” ต้องการขั้นตอน ไม่ใช่แค่ประโยชน์ของต้นไม้
- เข้าใจง่ายและมีโครงสร้างดีใช้หัวข้อย่อย (H2, H3), Bullet point และภาษาเรียบง่าย อ่านรู้เรื่องในเวลาไม่นาน
- ไม่ยัดคีย์เวิร์ด (Keyword Stuffing) ใช้คำสำคัญพอดี ๆ และกระจายอย่างเป็นธรรมชาติ
- อัปเดตเนื้อหาเสมอ Google ชอบเว็บที่สดใหม่ โดยเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวกับข้อมูลเปลี่ยนบ่อย เช่น เทรนด์ เทคโนโลยี หรือกฎหมาย
เคล็ดลับ:เขียนคอนเทนต์โดยคิดถึงคนอ่านก่อนอัลกอริทึม แล้วค่อยปรับให้เหมาะกับ SEO
2. ความน่าเชื่อถือ (E-E-A-T)
E-E-A-T เป็นหัวใจสำคัญของ Google ในการวัดคุณภาพเว็บ
- Experience (ประสบการณ์จริง)มีตัวอย่าง เคสจริง หรือเนื้อหาที่มาจากประสบการณ์ผู้เขียน
- Expertise (ความเชี่ยวชาญ)ผู้เขียนควรมีความรู้จริง เช่น บทความสุขภาพควรเขียนโดยแพทย์หรืออ้างอิงแหล่งทางการ
- Authoritativeness (ความเป็นผู้นำทางความคิด) เว็บไซต์หรือแบรนด์ได้รับการกล่าวถึงจากแหล่งอื่น ๆ ที่น่าเชื่อถือ
- Trustworthiness (ความน่าไว้วางใจ) มีข้อมูลติดต่อชัดเจน HTTPS ปลอดภัย และไม่มีพฤติกรรมหลอกลวง
เคล็ดลับ: ใส่ชื่อผู้เขียน โปรไฟล์ หรือแหล่งอ้างอิงท้ายบทความ จะช่วยเพิ่มคะแนน E-E-A-T ได้มาก
3. Backlinks คุณภาพ
ลิงก์จากเว็บอื่น คือ การโหวตความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์เรา
- ลิงก์จากเว็บที่มีคุณภาพสูง เช่น เว็บข่าว เว็บการศึกษา หรือเว็บในวงการเดียวกัน จะช่วยเพิ่ม Domain Authority
- ความเกี่ยวข้องของเนื้อหา ลิงก์จากเว็บในหมวดเดียวกันมีค่ามากกว่าลิงก์สุ่มจากเว็บที่ไม่เกี่ยวข้อง
- หลีกเลี่ยง Backlink สแปม การซื้อลิงก์หรือสร้างลิงก์จากเว็บไร้คุณภาพอาจถูก Google ลงโทษ (Penalty)
เคล็ดลับ: ใช้กลยุทธ์ Outreach หรือ Guest Post กับเว็บที่มีชื่อเสียงและเกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณ
4. ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX)
Google ต้องการให้ผู้ใช้รู้สึกดี เมื่อเข้าเว็บคุณ
- เว็บโหลดเร็ว ถ้าโหลดเกิน 3 วินาที ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะปิดออกทันที
- ใช้งานง่ายบนมือถือ (Mobile Friendly)เพราะปัจจุบันผู้ค้นหาส่วนใหญ่มาจากมือถือ
- โครงสร้างชัดเจน เมนูไม่ซับซ้อน ขนาดตัวอักษรอ่านสบาย
- ให้คุณค่าจริงกับคนอ่านไม่ใส่โฆษณาเยอะเกินไป หรือบังคับให้คลิกหลายขั้น
เคล็ดลับ:ใช้เครื่องมืออย่าง Google PageSpeed Insights ตรวจสอบความเร็วเว็บ และปรับปรุง UX อย่างต่อเนื่อง
ทำไมต้องติดตาม Algorithm Update อย่างใกล้ชิด
การอัปเดตแต่ละครั้ง สามารถเขย่าอันดับได้ทั้งอุตสาหกรรมเลยทีเดียว นั่นหมายความว่า รู้ก่อนก็ได้เปรียบกว่า มาดูตัวอย่างการอัปเดตชัด ๆ เช่น
ปี 2021 Core Web Vitals
Google เปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) มากขึ้น ทำให้ถ้าเว็บไซต์ใครช้า โหลดไม่เต็มจอมือถือ โดนลดอันดับทันที
ปี 2022 Helpful Content Update
Google ปรับอัลกอริทึมให้เนื้อหาที่มีประโยชน์จริงได้คะแนนนำ เว็บที่เขียนเนื้อหาให้บอทแทนให้คนอ่าน ก็โดนลดอันดับกันไปตามระเบียบ
ปี 2023 E-E-A-T Update
เว็บที่พูดเรื่องสุขภาพ การเงิน หรือความปลอดภัย แต่ไม่มีผู้เขียนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง ก็จะถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือ
แต่ไม่ต้องกังวล เพราะเราสามารถรับมือได้ง่าย ๆ ก็คือ เล่นตามกติกาของ Google ให้ดีที่สุด
ซึ่งก็คือ ทำเว็บที่มีคุณภาพจริงก็เท่านั้นเอง ด้วยการยึดหลักการง่าย ๆ เหล่านี้
- ข้อมูลต้องน่าเชื่อถือและอัปเดตล่าสุด
- เขียนเนื้อหาให้กระชับแต่ครบ ไม่สั้นเกินไป
- ไม่คัดลอกคอนเทนต์จากเว็บอื่น
- อย่ายัดคีย์เวิร์ดมากเกินจนดูไม่เป็นธรรมชาติ
- ตรวจสอบคำผิด การจัดวาง และการแสดงผลบนมือถือเสมอ
อ่านบทความที่น่าสนใจ :รู้จัก Google Core Update ล่าสุด เรื่องสำคัญที่คนทำ SEO ต้องรู้!

ทำยังไงให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก Google ตามอัลกอริทึมปัจจุบัน
การจะให้เว็บไซต์ขึ้นหน้าแรกของ Google ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากการเข้าใจอัลกอริทึม และปรับแต่งเว็บให้สอดคล้องกับสิ่งที่ Google ต้องการ ซึ่งแนวทางสำคัญที่ควรทำอย่างต่อเนื่อง ได้แก่
- เข้าใจ Search Intent ของผู้ใช้ก่อนเขียนคอนเทนต์
- ใช้ SEO Tools เช่น Ahrefs, GSC หรือ PageSpeed ตรวจเว็บไซต์เป็นประจำ
- ปรับปรุงคอนเทนต์เก่าให้สดใหม่อยู่เสมอ
- วิเคราะห์คู่แข่งในหน้าแรกและเรียนรู้ว่าพวกเขาทำอะไรแล้วได้ดี
- ใส่ใจประสบการณ์ผู้ใช้และความเร็วของหน้าเว็บ
อัปเดตเว็บไซต์เอาใจ Google Algorithm
การเข้าใจ Google Algorithm ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือกลยุทธ์สำคัญที่ต้องพร้อมอัปเดตตลอดเวลา เพราะทุกครั้งที่ Google เปลี่ยนกติกา คือโอกาสให้แบรนด์ที่เข้าใจก่อน ได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่อยากให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก Google อย่างยั่งยืน มีการตรวจสอบ SEO Audit แบบมืออาชีพ ด้วยแผนกลยุทธ์ SEO ที่อิงตามอัลกอริทึมล่าสุด Blupaper พร้อมช่วยคุณวิเคราะห์แบบเจาะลึก ตั้งแต่ Technical SEO On-Page ไปจนถึงกลยุทธ์ Content SEO ให้คุณมั่นใจว่า ทุกคลิกมีค่า และทุกอันดับคือการลงทุนระยะยาว
ติดต่อเราเลยตอนนี้
- โทร. 094-454-2495
- Line: @blupaper
- Facebook: Blupaper Digital Marketing Agency
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Google Algorithm
Q: Google ปรับ Algorithm บ่อยแค่ไหน?
A: โดยเฉลี่ย Google จะมีอัปเดตเล็ก ๆ ทุกวัน และอัปเดตใหญ่ (Core Update) ประมาณ 3–4 ครั้งต่อปี และแต่ละรอบอาจส่งผลให้บางเว็บไซต์อันดับพุ่งขึ้น หรือบางเว็บหายไปจากหน้าแรก
Q: จะรู้ได้ยังไงว่าเว็บเราถูก Algorithm กระทบ?
A: มีจุดสังเกต 3 จุด คือ
1. อันดับคีย์เวิร์ดตกลงแบบรวดเร็ว
2. ทราฟฟิกลดลงทั้งจาก Organic และ Search Console และ
3. ไม่มีปัญหาทางเทคนิคอื่น แต่ทราฟฟิกลด
หากเกินสัญญาณเหล่านี้แปลว่าโดน Algorithm ปรับคะแนน ลองใช้เครื่องมืออย่าง Ahrefs, Google Search Console, Semrush Sensor เพื่อตรวจสอบได้ทันที
Q: ถ้าเว็บไซต์ของเราโดน Algorithm Update กระทบ ต้องทำยังไง?
A: ทบทวนคุณภาพคอนเทนต์ว่าเนื้อหาตอบคำถามผู้ใช้แล้วหรือไม่ จากนั้นตรวจ Backlink คุณภาพ พร้อมปรับ UX และความเร็วเว็บ รวมถึงอัปเดตคอนเทนต์ให้ทันสมัยและมีคุณค่าอยู่เสมอ
Q: ติดตามข่าวสารการอัปเดต Algorithm ได้ทางไหน?
A: สามารถติดตามได้ที่ช่องทางทางการของ Google เช่น Google Search Status Dashboard, Google Search Central Blog, Twitter ของ @searchliaison หรือเว็บข่าว SEO อย่าง
Search Engine Journal, SE Roundtable และ Moz Blog ที่รายงานทุกอัปเดตพร้อมคำแนะนำวิธีรับมือเสมอ
Q: ควรทำ SEO Audit หลังจากมี Algorithm Update ไหม?
A: ควรทำทันทีเพราะ Audit จะช่วยเช็กได้ว่าเว็บของเราโดนกระทบส่วนไหน และควรปรับจุดใดก่อน เช่น เนื้อหา ลิงก์ หรือเทคนิคเว็บ การทำ SEO Audit ทุกครั้งหลังอัปเดตใหญ่ เปรียบเสมือนการตรวจสุขภาพเว็บไซต์ให้แน่ใจว่ายังแข็งแรงอยู่เสมอ