KPI ยิง Ads คืออะไร? และทำไมถึงต้องใช้

ก่อนที่จะเลือกหลักในการวัดผลโฆษณา ต้องรู้ก่อนว่า KPI ยิง Ads คืออะไร ซึ่ง KPI หรือ Key Performance Indicator ก็คือ ตัวชี้วัดโฆษณา ที่บอกว่าโฆษณาที่เราปล่อยออกไปสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ ซึ่งการวัดผลนี้มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่ช่วยให้ฝ่ายการตลาดนำข้อมูลไปใช้วางแผนและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับงบประมาณได้มากที่สุด 

เหตุผลที่ KPI สำคัญต่อการวัดผลโฆษณา

สิ่งสำคัญของการใช้ KPI วัดผลโฆษณานั้นมีข้อดีต่อธุรกิจในหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านต่อไปนี้

  • ช่วยวัดผลแคมเปญได้อย่างเป็นรูปธรรม
  • ทำให้เรารู้ว่าเงินที่ใช้จ่ายไปสร้างรายได้กลับมามากน้อยแค่ไหน
  • ใช้เปรียบเทียบและพัฒนาโฆษณาให้ดีขึ้นในอนาคต
  • ช่วยทีมการตลาดและลูกค้า สื่อสารเข้าใจด้วยภาษาเดียวกัน เพราะตัวเลขคือสิ่งที่อธิบายได้ชัดเจน

วิธีวัดผลโฆษณาออนไลน์ที่ควรรู้

การวัดผลโฆษณาออนไลน์ ไม่ได้มีตัวเลขเดียว แต่มีหลายมิติที่เราต้องดูควบคู่กัน เพื่อไม่ให้การตัดสินใจผิดพลาด ซึ่งวิธีวัดผลต่อไปนี้จะเแบ่งเป็น 3 ส่วน ตามรายละเอียดต่อไปนี้ 

1. KPI วัดผลโฆษณา Google Ads และ Facebook Ads

KPI เหล่านี้มักจะใช้ร่วมกันเพื่อวิเคราะห์ภาพรวมของแคมเปญโฆษณา เพื่อวัดผลโฆษณาออนไลน์ทั้งฝั่ง Google Ads และ Facebook Ads 

  • Clicks : จำนวนครั้งที่โฆษณาของคุณถูกคลิก
  • Impressions : จำนวนครั้งที่โฆษณาของคุณปรากฏให้ผู้ใช้เห็น ซึ่งอาจเป็นคนเดิมที่เห็นซ้ำก็ได้
  • Reach : จำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานเห็นโฆษณาของคุณ ต่างจาก Impressions ตรงที่นับแค่คน ไม่ใช่จำนวนครั้ง และจะไม่ได้นับผู้ใช้งานคนเดิม
  • CTR : อัตราส่วนระหว่างจำนวนคลิกกับจำนวนการแสดงผล เป็นตัวชี้วัดว่าโฆษณาของคุณมีความน่าสนใจและดึงดูดให้คนคลิกได้มากน้อยแค่ไหน สูตรคำนวณ CTR = (Clicks/Impressions) x 100
  • CPC : ต้นทุนเฉลี่ยต่อการคลิกหนึ่งครั้ง เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพด้านต้นทุน ถ้า CPC ต่ำ หมายความว่าคุณใช้เงินน้อยลงเพื่อให้ได้จำนวนคลิกเท่าเดิม สูตรคำนวณ CPC = Total Cost/Clicks
  • Conversions : จำนวนครั้งที่ผู้ใช้ทำสิ่งที่คุณกำหนดให้เป็นเป้าหมาย เช่น การซื้อสินค้า การกรอกแบบฟอร์ม หรือการสมัครสมาชิก
  • Conversion Rate : อัตราส่วนระหว่างจำนวน Conversion กับจำนวนคลิก เป็นตัวชี้วัดว่าโฆษณามีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้เป็นลูกค้าได้ดีแค่ไหน สูตรคำนวณ Conversion Rate = (Conversions/Clicks) x 100
  • CPA : ต้นทุนเฉลี่ยต่อการเกิด Conversion หนึ่งครั้ง เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่ง เพราะบอกว่าคุณต้องใช้เงินเท่าไหร่เพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่หนึ่งคน สูตรคำนวณ CPA = Total Cost​/Conversions
  • ROAS : ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา เป็นตัวชี้วัดที่บอกว่าทุก 1 บาท ที่จ่ายไปกับโฆษณา สร้างรายได้กลับมาเท่าไหร่ สูตรคำนวณ ROAS = (Total Revenue/Total Cost) ​×100

อ่านบทความที่น่าสนใจ : ทำ Google Ads ให้เวิร์ก! เข้าใจความต่างของ CPM, CPC, CPA ก่อนลงมือทำ

2. KPI วัดผลโฆษณา ที่เน้นสำหรับ Google Ads

นอกจาก KPI ทั่วไปข้างต้น ยังมี KPI เฉพาะที่สำคัญสำหรับวัดผลโฆษณา Google Ads โดยเฉพาะ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ KPI ต่อไปนี้ 

  • Quality Score : คะแนนคุณภาพเป็นการประเมินความเกี่ยวข้องของโฆษณา คีย์เวิร์ด และหน้า Landing Page คะแนนคุณภาพที่สูงจะช่วยให้คุณจ่ายค่า CPC ที่ถูกลงและโฆษณาของคุณมีอันดับที่ดีขึ้น
  • Impression Share : สัดส่วนการแสดงผลของโฆษณาเทียบกับจำนวนครั้งทั้งหมดที่โฆษณามีสิทธิ์แสดง ช่วยให้รู้ว่าโฆษณาสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เต็มที่แค่ไหน และควรเพิ่มงบประมาณหรือปรับปรุงอันดับหรือไม่
  • Cost Per Conversion Value : อัตราส่วนระหว่างต้นทุนกับมูลค่า Conversion ที่ได้จากโฆษณา

3. KPI วัดผลโฆษณา ที่เน้นสำหรับ Facebook Ads

สำหรับคนที่ใช้ Facebook Ads เป็นประจำ KPI เหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดโฆษณาให้กับคุณได้

  • Frequency : ความถี่โดยเฉลี่ยที่ผู้ใช้หนึ่งคนเห็นโฆษณาของคุณ ถ้าค่า Frequency สูงเกินไป อาจหมายความว่าผู้ใช้เริ่มเห็นโฆษณาซ้ำ ๆ จนเกิดความรำคาญ ควรพิจารณาเปลี่ยนรูปภาพหรือข้อความโฆษณา สูตรคำนวณ Frequency = Impressions​/Reach
  • Engagement Rate : อัตราส่วนระหว่างจำนวนการมีส่วนร่วม เช่น ไลค์ คอมเมนต์ แชร์ กับจำนวน Reach หรือ Impressions ใช้เป็นตัวชี้วัดว่าโฆษณาของคุณสร้างปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายได้ดีแค่ไหน
  • Video Views : จำนวนครั้งที่มีการดูวิดีโอในโฆษณา จนถึงระยะเวลา เช่น 3 วินาที 10 วินาที หรือ 75%
  • Ad Relevance Diagnostics : การประเมินความเกี่ยวข้องของโฆษณาโดย Facebook ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ Quality Ranking, Engagement Rate Ranking และ Conversion Rate Ranking ช่วยให้เข้าใจว่าโฆษณานั้นมีประสิทธิภาพในด้านใดและควรปรับปรุงตรงไหน

ดีกว่ามั้ย? ถ้าให้มืออาชีพช่วยทำโฆษณาออนไลน์ ตั้งแต่วางแผนไปจนถึงวัดผลปรึกษา Blupaper ตอนนี้ เพื่อโอาสกปิดการขายได้อย่างยั่งยืน 

วิธีใช้ kpi ดูว่าโฆษณาออนไลน์คุ้มค่าหรือไม่

วิธีดูว่าโฆษณาออนไลน์คุ้มค่าหรือไม่

วิธีดูว่าโฆษณาออนไลน์คุ้มค่าหรือไม่ ไม่ใช่แค่การดูยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูภาพรวมจากหลายมุมมอง โดยใช้ KPI วัดผลโฆษณาที่เราได้พูดถึงไปแล้วมาวิเคราะห์ ดังนี้

1. คำนวณ ROI และ ROAS

เริ่มจากการคำนวณ ROI และ ROASโดยวิธีหา ROAS หรือผลตอบแทนจากค่าโฆษณา ให้ใช้สูตรคำนวณ
ROAS = (Total Revenue/Total Cost) ​×100 เช่น คุณใช้เงินค่าโฆษณาไป 10,000 บาท และมียอดขายจากโฆษณาชุดนั้น 50,000 บาท ROAS จะเท่ากับ(50,000÷10,000) × 100=500% เท่ากับว่าทุก ๆ 1 บาท ที่ใช้ไปกับค่าโฆษณา คุณได้ยอดขายกลับมา 5 บาท 

สำหรับการหา ROIหรือผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งหมด จะพิจารณากำไรสุทธิโดยหักต้นทุนสินค้า ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไม่ใช่แค่ยอดขายอย่างเดียว ทำให้เห็นกำไรที่แท้จริงได้ดีกว่า 

โดยสูตรคำนวณ ROI = (Total Profit/Total Cost) ​× 100 เช่น กำไรสุทธิจากยอดขาย 50,000 บาท หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วอยู่ที่ 15,000 บาท ROI จะเท่ากับ(15,000÷10,000) × 100 = 150% เท่ากับว่าทุก ๆ 1 บาท ที่คุณลงทุนไปกับค่าโฆษณา ทำกำไรกลับมา 1.5 บาท

สรุป : ถ้า ROAS หรือ ROI สูงกว่า 100% ถือว่าคุ้มค่าในแง่ของตัวเลข แต่ถ้าจะให้ดีต้องตั้งเป้าหมายไว้ล่วงหน้าว่า ROAS หรือ ROI ที่คุ้มค่าสำหรับธุรกิจของคุณควรอยู่ที่เท่าไหร่

2. พิจารณา Cost Per Conversion (CPA)

CPAคือ ตัวชี้วัดที่บอกว่าต้องใช้ต้นทุนเท่าไหร่เพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่หนึ่งราย ดังนั้น ถ้า CPA ต่ำกว่ากำไรเฉลี่ยต่อลูกค้าหนึ่งราย ถือว่าคุ้มค่า เช่น ถ้าได้กำไรเฉลี่ยจากลูกค้าหนึ่งคน 500 บาท แต่ใช้เงินค่าโฆษณาไป 300 บาท ก็ถือว่าคุ้มค่าและยังมีกำไร

3. ดูภาพรวมของแคมเปญ

แม้ CPA หรือ ROAS จะช่วยให้เห็นภาพรวมความคุ้มค่า แต่ก็ไม่ควรตัดสินจากตัวเลขเพียงอย่างเดียว ควรพิจารณา KPI อื่นประกอบ เช่น

  • CTR : ถ้า CTR สูง แต่ Conversion Rate ต่ำ อาจหมายความว่าโฆษณาน่าสนใจ แต่หน้า Landing Page ไม่ดึงดูดพอที่จะทำให้ลูกค้าซื้อ
  • Quality Score (Google Ads) : หาก Quality Score สูงจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายโฆษณาได้ในระยะยาว
  • Frequency (Facebook Ads) : ถ้า Frequency สูงเกินไป และ Conversion Rate ต่ำ อาจเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาต้องสร้างโฆษณาใหม่แล้ว

วัดผลโฆษณาได้แม่นยำ แค่เลือกใช้ KPI ให้เป็น

การวัดผลโฆษณา ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่เป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าไม่วัดผลก็ไม่รู้เลยว่าเงินที่ใช้ไปสร้างอะไรกลับมาบ้าง การเลือกใช้วิธีวัดผลโฆษณาออนไลน์ ด้วย KPI ที่ถูกต้องและตรงจุด จะทำให้คุณมองเห็นว่าธุรกิจของคุณกำลังเดินไปในทิศทางไหนและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันหากคุณกำลังมองหาที่ปรึกษาด้านการตลาดดิจิทัล ที่ช่วยให้คุณวาง KPI โฆษณา ได้ตรงเป้าหมาย พร้อมปรับกลยุทธ์ให้แคมเปญทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ Blupaperพร้อมช่วยให้การยิงแอดของคุณกลายเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และสร้างผลตอบแทนที่จับต้องได้จริง ติดต่อเรา หรือ โทร. 094-454-2495

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ การวัดผลโฆษณา (FAQ)

Q : วิธีวัดผลโฆษณาออนไลน์ที่ง่ายที่สุดคืออะไร?

A : ดู CTR, CPC, Conversion และ ROAS ผ่าน Ads Manager หรือ Google Analytics

Q : วิธีดูว่าโฆษณาออนไลน์คุ้มค่าหรือไม่ทำยังไง?

A : เปรียบเทียบ Cost per Conversion กับกำไรต่อการขาย และดู ROAS เป็นหลัก

Q : ยิงโฆษณาออนไลน์วัดผลยังไงให้แม่นยำ?

A : ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Facebook Ads Manager และ Looker Studio เพื่อรวมผลจากหลายช่องทาง

Q : ตัวชี้วัดโฆษณาใดสำคัญที่สุด?

A : ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ถ้าเน้น Awareness ให้ดู CPM/CTR ถ้าเน้นยอดขายให้ดู Conversion และ ROAS