ทำไมต้องเข้าใจ CPM, CPC และ CPA ก่อนเริ่มโฆษณา Google Ads?

ก่อนจะลงมือยิงแอดโฆษณาบน Google เราควรรู้จักตัวชี้วัดสำคัญให้ดีเสียก่อน เพราะการโฆษณาออนไลน์ไม่ใช่แค่เติมเงินแล้วหวังให้ยอดขายพุ่ง แต่เป็นการลงทุนที่ต้องมีการวางแผนและวัดผลอย่างแม่นยำ เหมือนขับรถไปที่หมายด้วย GPS แทนการขับไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีทิศทาง เพราะฉะนั้นการเข้าใจตัวชี้วัด = ใช้เงินโฆษณาได้คุ้มค่าที่สุด

CPM, CPC และ CPA เป็นหน่วยวัดที่ช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าควรลงเงินกับอะไร และอย่างไร เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด มาดูกันว่ารู้จักสิ่งเหล่านี้แล้วจะช่วยอะไรเราได้บ้าง

  • ไม่เผางบโฆษณาไปฟรี ๆ แต่ละตัวชี้วัดมีวิธีคำนวณค่าใช้จ่ายต่างกัน ถ้าเลือกไม่ถูกอาจทำให้เสียเงินไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น เช่น ถ้าต้องการให้คนคลิกเยอะ ๆ แต่ดันเลือก CPM ที่เน้นจำนวนคนเห็น โฆษณาอาจไม่คุ้มเท่าที่ควร
  • วัดผลว่าโฆษณาเวิร์กหรือไม่ ตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยให้เรารู้ว่าโฆษณาทำงานดีแค่ไหน คนเห็นเยอะไหม คลิกเยอะหรือเปล่า หรือที่สำคัญที่สุด…มีคนซื้อสินค้าของเราหรือไม่
  • ปรับปรุงโฆษณาให้ดียิ่งขึ้น เมื่อเข้าใจผลลัพธ์แล้ว เราจะรู้ว่าต้องปรับอะไรให้ดีขึ้น เช่น ถ้า CTR ต่ำ แปลว่าโฆษณายังไม่น่าสนใจพอ หรือถ้า CPA สูงเกินไป อาจต้องปรับ Landing Page ให้ดีขึ้น
  • เลือกกลยุทธ์ให้เหมาะกับธุรกิจ แต่ละโมเดลโฆษณาตอบโจทย์เป้าหมายที่ต่างกัน 
    • CPM (Cost Per Mille) เหมาะกับการสร้างการรับรู้ (Brand Awareness)
    • CPC (Cost Per Click) ดีสำหรับเพิ่มจำนวนคลิกและคนเข้าเว็บไซต์
    • CPA (Cost Per Action) ใช้สำหรับเน้นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เช่น การสมัครสมาชิกหรือซื้อสินค้า

สรุปแบบง่าย ๆ เลยก็คือ ถ้าอยากให้การยิงแอด Google Ads คุ้มค่า เข้าใจ CPM, CPC และ CPA ไว้ จะช่วยให้ใช้เงินได้ฉลาดขึ้น แคมเปญมีประสิทธิภาพ และธุรกิจเติบโตได้แบบมีกลยุทธ์

CPM, CPC, CPA คืออะไร? ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงโฆษณา

CPM, CPC และ CPA ย่อมาจากอะไรบ้าง และวิธีการคิดค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันอย่างไร ไปดูกันเลย!

1. CPM (Cost Per Mille)  คิดค่าโฆษณาตามจำนวนครั้งที่แสดงผล

CPM คือ Cost Per Mille หรืออีกชื่อว่า Cost Per Impression โดย CPM นี้ก็คือค่าใช้จ่ายต่อการแสดงผลโฆษณา 1,000 ครั้ง พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ เราจ่ายเงินเพื่อให้โฆษณา Google Ads ของเราแสดงผลให้คนเห็น 1,000 ครั้ง โดยไม่สนว่าคนจะคลิกหรือไม่คลิก ขอแค่เห็นก็นับเป็น 1 impression

สูตรการคำนวณ CPM

CPM = (ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ÷ จำนวนครั้งที่โฆษณาแสดงผล) x 1,000

ตัวอย่าง

สมมติว่าเราตั้งงบไว้ 5,000 บาทในการทำโฆษณา Google Ads และโฆษณาของเราแสดงผล ไปทั้งหมด 200,000 ครั้ง

  • (5,000 ÷ 200,000) x 1,000 = 25 บาท

หมายความว่า เราต้องจ่ายเงิน 25 บาทต่อการแสดงผลโฆษณา 1,000 ครั้ง

แคมเปญใดบ้างที่เหมาะกับ CPM

CPM เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการ ให้คนเห็นแบรนด์เยอะ ๆ ยิ่งแสดงผลมาก โอกาสที่คนจะจดจำแบรนด์ก็ยิ่งสูง โดยเฉพาะ

  • แคมเปญสร้างการรับรู้แบรนด์ ทำให้คนรู้จักและจำแบรนด์ได้
  • แคมเปญเปิดตัวสินค้าใหม่ กระจายข่าวให้กลุ่มเป้าหมายรู้ว่าเรามีสินค้าใหม่
  • แคมเปญโปรโมตธุรกิจ เพิ่มการเข้าถึงและการมองเห็นในวงกว้าง

จำไว้ว่า CPM ไม่ได้วัดผลจากการคลิก แต่วัดจากจำนวนครั้งที่โฆษณาแสดงผล ดังนั้น อย่าลืมออกแบบโฆษณาให้ ดึงดูดสายตา เพื่อให้การลงทุนคุ้มค่าที่สุด

2. CPC (Cost Per Click) จ่ายเมื่อมีคนคลิก

CPC หรือ Cost Per Click คือ วิธีคิดค่าโฆษณาที่คุณต้องจ่าย ทุกครั้งที่มีคนคลิก โฆษณาของคุณ ฟังดูตรงไปตรงมาใช่ไหม? นั่นแปลว่า ถ้าไม่มีใครคลิก คุณก็ไม่ต้องเสียเงิน 

ยิ่งคลิกเยอะ แปลว่าโฆษณาน่าสนใจ แต่ต้องระวังไม่ให้ต้นทุนสูงเกินไป เป้าหมายสำคัญของการยิง Google Ads คือ ทำให้ CPC ต่ำแต่ยังได้ผลลัพธ์ดี ซึ่งทำได้โดยการปรับแต่งโฆษณาให้มีประสิทธิภาพ และใช้งบประมาณอย่างชาญฉลาด

สูตรการคำนวณ CPC

CPC = ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ÷ จำนวนคลิก

ตัวอย่าง

สมมติว่าเราตั้งงบไว้ 1,000 บาทในการทำโฆษณา Google Ads และมีคนคลิกโฆษณาของเราไปทั้งหมด 100 ครั้ง

  • 1,000 ÷ 100 = 10 บาท

หมายความว่า เราต้องจ่ายเงิน 10 บาทต่อการคลิกโฆษณา 1 ครั้ง

แคมเปญใดบ้างที่เหมาะกับ CPC

ถ้าคุณต้องการให้คน คลิกเยอะ ๆ และเข้ามาดูเว็บไซต์หรือข้อมูลของคุณ CPC คือตัวเลือกที่ใช่ เหมาะสำหรับ

  • แคมเปญที่ต้องการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Traffic)
  • โฆษณาที่ต้องการให้คนสนใจคลิกเข้ามาดูข้อมูลเพิ่มเติม
  • ต้องการให้คนคลิกเข้าไปดูรายละเอียดสินค้าหรือบริการต่อ

CPC คือ โฆษณาแบบจ่ายเมื่อมีคนคลิก ถ้าตั้งค่าและปรับแคมเปญให้ดี คุณจะได้คลิกในราคาถูกลง และทำให้โฆษณา สร้างยอดขายได้จริง ไม่ใช่แค่จำนวนคลิกที่เพิ่มขึ้นอย่างเดียว

3. CPA (Cost Per Action) จ่ายเมื่อเกิดผลลัพธ์ที่ต้องการ

ถ้าคุณเคยลงโฆษณาแล้วสงสัยว่า “ฉันจ่ายเงินไปตั้งเยอะ แต่ได้อะไรกลับมาจริง ๆ ไหม?” นี่แหละที่ CPA หรือ Cost Per Action เข้ามามีบทบาท เพราะมันคือค่าใช้จ่ายที่คุณจ่าย เฉพาะเมื่อมีคนทำสิ่งที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการกดสมัครสมาชิก ซื้อสินค้า ดาวน์โหลดแอป หรือทำอะไรก็ตามที่เป็นเป้าหมายของแคมเปญ สรุปง่าย ๆ เลย คือจ่ายเงินก็ต่อเมื่อเกิดการกระทำ (Action) ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เท่านั้น

สูตรการคำนวณ CPA

CPA = ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ÷ จำนวน Conversion

ตัวอย่าง

สมมติว่าเราตั้งงบไว้ 5,000 บาทในการทำโฆษณา Google Ads และมีคนซื้อสินค้าจากโฆษณาของเรา 50 คน

  • 5,000 ÷ 50 = 100 บาท ต่อการซื้อ 1 ครั้ง

หมายความว่า คุณต้องจ่าย 100 บาท เพื่อให้มีลูกค้าซื้อสินค้าหนึ่งครั้ง นี่เป็นตัวเลขที่ช่วยให้คุณประเมินได้ว่าแคมเปญของคุณคุ้มค่าหรือไม่

แคมเปญใดบ้างที่เหมาะกับ CPA

CPA คือตัวช่วยวัดผลลัพธ์ที่แท้จริงของโฆษณา เพราะไม่ได้วัดแค่การมองเห็นหรือการคลิก แต่ดูว่ามีคนทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ จึงเหมาะสำหรับ

  • แคมเปญที่ต้องการ ยอดขายเพิ่มขึ้น
  • ต้องการ หาลูกค้าใหม่
  • เน้นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เช่น การสมัครสมาชิก ดาวน์โหลดแอป หรือการกรอกแบบฟอร์ม
  • เหมาะกับโฆษณาที่ต้องการผลลัพธ์ที่จับต้องได้ มากกว่าการมองเห็นหรือคลิกเฉย ๆ

CPA คือแนวทางที่ช่วยให้คุณ จ่ายเงินเฉพาะเมื่อได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ไม่ต้องลุ้นว่าคลิกเยอะแล้วจะขายได้หรือไม่ แถมยังช่วยให้คุณประเมิน ROI ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

Tip จากผู้เชี่ยวชาญ ถ้าคลิกเยอะ แต่ยอดขายไม่มา ลองเปลี่ยนมาโฟกัสที่ CPA ดู แล้วคุณจะเห็นภาพว่าควรแก้ไขตรงไหน

แล้วจะเลือกแบบไหนดี?

ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังงงว่าธุรกิจของคุณควรจะเลือกทำตัวไหนดี? ถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ต้องการจริง ๆ เราขอสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้

  • ถ้าอยากให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก ใช้ CPM
  • ถ้าอยากให้คนคลิกดูเว็บเยอะ ๆ  ใช้ CPC
  • ถ้าอยากให้คนซื้อของจริง ๆ  ใช้ CPA

การเลือกใช้ CPM, CPC หรือ CPA ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการตลาดของคุณ อยากให้แบรนด์ติดตาเลือก CPM อยากให้คนสนใจแล้วคลิกเลือก CPC หรืออยากให้โฆษณาทำกำไรเลือก CPA

ยิงแอดให้ปังกับ Blupaper ตัวจริงเรื่องการยิงแอด

อยากให้โฆษณา Google Ads ของคุณทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ การเข้าใจ CPM, CPC และ CPA คือกุญแจสำคัญ เพราะแต่ละตัวชี้วัดมีบทบาทต่างกันในการวัดผลและปรับปรุงแคมเปญโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด ถ้าอยากให้แอดแม่น ไม่ยิงทิ้งยิงขว้าง เราต้องเลือกใช้ตัววัดผลให้เหมาะกับเป้าหมาย และอย่าลืมวิเคราะห์ ปรับแต่งโฆษณาอย่างต่อเนื่อง

อยากให้โฆษณา Google Ads ของคุณปังกว่าเดิม Blupaper พร้อมช่วยคุณวางแผนและจัดการแคมเปญให้ตรงเป้าหมาย ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจทุกมิติของการโฆษณาออนไลน์ วิเคราะห์ให้แม่น ปรับให้ตรง เพิ่มโอกาสให้ธุรกิจเติบโต

ปรึกษาฟรีวันนี้ แล้วมาสร้างความสำเร็จไปด้วยกัน