ssr คือการแสดงผลเว็บไซต์จากฝั่ง server

ทำความเข้าใจภาพรวมของ SSR และ CSR ก่อนเริ่ม

ก่อนจะลงลึกถึงรายละเอียด เรามาเห็นภาพรวมของสองคำนี้แบบง่าย ๆ กันก่อน เพื่อให้ทั้ง Dev, Marketer และเจ้าของธุรกิจคุยกันรู้เรื่องอยู่บนฐานความเข้าใจเดียวกัน โดยสรุปแล้ว

  • SSR (Server-Side Rendering) คือ การให้ ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ แสดงผลหน้า HTML ให้เรียบร้อย ก่อนส่งไปยังเบราว์เซอร์ของผู้ใช้
  • CSR (Client-Side Rendering) คือ การให้ ฝั่งเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ เป็นคน Render หน้าเว็บจาก JavaScript ที่ได้รับมา

ทั้งสองแบบให้ผลลัพธ์หน้าตาเว็บเหมือนกัน แต่เบื้องหลังการทำงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญต่อ ความเร็ว, UX และ SEO

SSR (Server-Side Rendering) คืออะไร?

เพื่อให้เข้าใจง่าย ลองจินตนาการว่าเมื่อผู้ใช้เปิดหน้าเว็บหนึ่งหน้า เบราว์เซอร์จะส่งคำขอ (Request) ไปที่เซิร์ฟเวอร์ จากนั้นรูปแบบ Server-Side Rendering คือ

  1. เซิร์ฟเวอร์รับคำขอจากผู้ใช้
  2. เซิร์ฟเวอร์นำข้อมูลจาก Database / API มาประมวลผล
  3. เซิร์ฟเวอร์ Render หน้าเว็บออกมาเป็นไฟล์ HTML ที่ “สมบูรณ์พร้อมเนื้อหา”
  4. เซิร์ฟเวอร์ส่งไฟล์ HTML ที่ Render แล้วกลับไปให้เบราว์เซอร์
  5. เบราว์เซอร์มีหน้าที่แค่ “แสดงผล” หน้าเว็บให้ผู้ใช้เห็นทันที

ดังนั้นภาระหลักในการทำงานจะอยู่ที่ Server แทนที่จะเป็น Client (เบราว์เซอร์ของผู้ใช้) ทำให้การแสดงผลครั้งแรก (First Paint) มักจะเร็วและไม่ว่างเปล่า

ข้อดีของ SSR

เมื่อเข้าใจหลักการทำงานแล้ว จะเห็นได้ชัดว่า SSR มีจุดแข็งสำคัญหลายด้าน โดยเฉพาะในมุม SEO และประสบการณ์ผู้ใช้

1. ดีต่อ SEO โดยตรงเพราะเมื่อใช้ SSR เนื้อหาในหน้าเว็บจะถูกส่งมาในรูปแบบ HTML ที่มีข้อความ รูปภาพ และโครงสร้างครบถ้วน ทำให้

  • Googlebot สามารถอ่าน เนื้อหาได้ทันที
  • ลดปัญหา Google ต้องรอให้ JavaScript รันก่อนถึงจะเห็นเนื้อหา
  • ช่วยให้การ Crawl และ Index ทำได้ครบถ้วนและรวดเร็ว

2. Time To First Byte (TTFB) และการแสดงผลครั้งแรกดี ใน SSR เซิร์ฟเวอร์จะทำงานหนักเพื่อสร้างหน้า HTML ให้เสร็จ ก่อนส่งมาให้ผู้ใช้ จึงทำให้

  • ผู้ใช้เห็นหน้าเว็บและเนื้อหาหลักได้เร็ว
  • คะแนนด้าน Core Web Vitals เช่น FCP (First Contentful Paint) มีโอกาสทำได้ดี
  • ภาพรวม Page Speed มักออกมาน่าพอใจ หากโครงสร้างระบบหลังบ้านและเซิร์ฟเวอร์ตั้งค่ามาดี

3. ดีต่อผู้ใช้บนมือถือและอุปกรณ์สเปกต่ำเพราะการประมวลผลส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่เซิร์ฟเวอร์ ทำให้

  • มือถือไม่ต้องรับภาระในการ Render หนัก ๆ
  • ใช้ทรัพยากรเครื่องน้อยลง (CPU / RAM)
  • ลดโอกาสหน้าเว็บกระตุกหรือค้างในอุปกรณ์รุ่นเก่า

ข้อจำกัดและความท้าทายของ SSR

แม้ SSR จะดูเพอร์เฟกต์ ในแง่ SEO และการแสดงผลครั้งแรก แต่ในมุมการพัฒนาและการลงทุนก็มีข้อควรคิดหลายประเด็นเช่นกัน

1. ใช้เวลาในการพัฒนาสูง การทำ SSR ให้มีประสิทธิภาพดี ต้องมีการออกแบบโครงสร้างระบบ หลังบ้าน และการ Render อย่างละเอียด

  • ยิ่งระบบซับซ้อน ฟีเจอร์เยอะ การ Integrate ระบบหลายส่วน
  • ระยะเวลาพัฒนาอาจยืดไปตั้งแต่หลายเดือนจนถึงเกือบปี
  • ต้องกันเวลาในการวาง Architecture, ทดสอบ Performance และแก้ Technical SEO

2. ต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงกว่า ด้วยความที่ SSR คือ การให้เซิร์ฟเวอร์ Render หน้าเว็บแบบเรียลไทม์ ทำให้ต้อง

  • ใช้เซิร์ฟเวอร์ที่มีทรัพยากรสูงกว่า
  • มีค่าใช้จ่ายด้านโฮสติ้งและ Infrastructure มากกว่าเว็บ Static หรือ CSR ล้วน ๆ
  • ต้องจ้าง Developer ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง

3. ต้องดูแลต่อเนื่องโดยทีมที่มีความรู้เมื่อมีการอัปเดตฟีเจอร์ ระบบหลังบ้าน หรือ Library ต่าง ๆ

  • จำเป็นต้องมี Dev ที่เข้าใจโค้ดและ Architecture เดิม
  • การแก้ Bug หรือ Optimize Performance มักไม่ใช่งานที่คนทั่วไปทำได้
  • หากทีมเปลี่ยนคนบ่อย อาจเกิด Technical Debt สะสมในระยะยาว
csr คือการแสดงผลเว็บไซต์จากฝั่ง client

CSR (Client-Side Rendering) คืออะไร?

ในรูปแบบ Client-Side Rendering คือ การย้ายงานหนักในการ Render หน้าเว็บไปให้ฝั่งเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ โดยกระบวนการคร่าว ๆ คือ

  1. เมื่อผู้ใช้เปิดเว็บ เบราว์เซอร์จะส่ง Request ไปยังเซิร์ฟเวอร์
  2. เซิร์ฟเวอร์ส่ง HTML โครงเปล่าที่มีเพียง Container หลัก (เช่น )
  3. พร้อมส่งไฟล์ JavaScript ขนาดใหญ่ (Bundle) มาด้วย
  4. เบราว์เซอร์ดาวน์โหลด JavaScript แล้วเริ่มรันโค้ด
  5. JavaScript ดึงข้อมูลจาก API / Backend มารวมกัน
  6. จากนั้นจึง Render หน้าเว็บที่สมบูรณ์ให้ผู้ใช้เห็น

กล่าวสั้น ๆ คือ Server ส่งเครื่องมือ +ข้อมูล มาให้ Client ประกอบหน้าเว็บเอง

ข้อดีของ CSR ในมุม UX และการใช้งานต่อเนื่อง

แม้การโหลดครั้งแรกของ CSR จะดูช้ากว่า SSR แต่เมื่อมองในภาพของการใช้งานเว็บต่อเนื่อง จะเห็นจุดแข็งของ CSR ชัดเจนมาก

1. UX ลื่นไหล รองรับ SPA ได้ดีมาก สำหรับเว็บที่ผู้ใช้มีการคลิกไปมาหลายหน้า หรือมีการโต้ตอบจำนวนมาก เช่น Dashboard, ระบบจัดการ, Web App, Platform ภายในองค์กร

  • หลังโหลดครั้งแรกเสร็จ การเปลี่ยนหน้าเพจจะเกิดขึ้นในฝั่ง JavaScript
  • ไม่ต้องร้องขอ HTML ใหม่จากเซิร์ฟเวอร์ตลอดเวลา
  • ให้ความรู้สึกคล้ายการใช้งานแอปบนมือถือ มากกว่าการใช้เว็บแบบเดิม

2. ประหยัดทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์และค่าโฮสติ้ง เพราะใน CSR ส่วนการ Render ส่วนใหญ่เกิดที่เบราว์เซอร์

  • เซิร์ฟเวอร์เน้นส่งข้อมูล JSON ผ่าน API
  • สามารถใช้ Static File Hosting และ CDN ช่วยกระจายไฟล์ได้ง่าย
  • ลดภาระการต้อง Run แอปเซิร์ฟเวอร์แบบหนัก ๆ ตลอดเวลา

3. จัดการโค้ดฝั่ง Frontend ได้คล่องตัว เมื่อใช้ JavaScript Framework เช่น React, Vue, Angular

  • โครงสร้างโค้ดฝั่ง Client ชัดเจน
  • แยกทีม Frontend และ Backend ทำงานคู่ขนานกันได้
  • เหมาะกับทีมที่อยาก Iteration ฟีเจอร์ฝั่ง UI/UX เร็ว ๆ

ข้อจำกัดของ CSR ที่ต้องรู้ โดยเฉพาะสาย SEO

แม้ข้อดีจะชัดเจน แต่ CSR ก็มีข้อจำกัดที่ต้องระวัง โดยเฉพาะถ้าเว็บของคุณต้องแข่งขันใน SEO อย่างจริงจัง

1. ไม่ค่อยเหมาะกับ SEO แบบดั้งเดิม ใน CSR เนื้อหาจะถูก Render ผ่าน JavaScript ทำให้

  • Googlebot ต้องรอให้ JavaScript รันให้เสร็จก่อนถึงจะเห็นเนื้อหา
  • เสี่ยงต่ออาการ Indexing ล่าช้า หรือ Index ไม่ครบ
  • ต้องพึ่งเทคนิคเพิ่มเติม เช่น Dynamic Rendering, Pre-render หรือ Hybrid SSR/CSR

2. โหลดครั้งแรกช้า ถ้า Bundle ใหญ่ หากเว็บใช้ฟีเจอร์เยอะ มีการโหลด Library มาก ๆ

  • ขนาดไฟล์ JavaScript จะใหญ่
  • เบราว์เซอร์ต้องใช้เวลาทั้งดาวน์โหลดและประมวลผล
  • User อาจรู้สึกว่าเว็บหมุน ๆ นานก่อนจะขึ้นเนื้อหา

3. ใช้ทรัพยากรฝั่งผู้ใช้สูงขึ้น เพราะเบราว์เซอร์ต้องรัน JavaScript ปริมาณมาก Render UI หลายส่วน ต้องดึงและจัดการข้อมูลเอง หากอุปกรณ์ผู้ใช้งานสเปกต่ำ แบตใกล้หมด หรืออยู่ในเครือข่ายที่ช้า ประสบการณ์ใช้งานอาจแย่ลงอย่างชัดเจน

เปรียบเทียบ SSR vs CSR แบบไหนเหมาะกับเว็บไซต์ของคุณ

เมื่อเข้าใจแล้วว่า SSR และ CSR คืออะไร ต่อไปเรามาดูภาพรวมในเชิงเปรียบเทียบกันว่า แต่ละแบบมีลักษณะเด่นด้อยอย่างไร เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าเว็บไซต์ของคุณควรเลือกแบบไหน

ก่อนจะเจาะลึกเป็นข้อ ๆ ลองดูตารางสรุปภาพรวมระหว่าง SSR และ CSR ว่าต่างกันอย่างไรในมุมสำคัญต่าง ๆ

การเปรียบเทียบSSR (Server-Side Rendering)CSR (Client-Side Rendering)
การแสดงผลครั้งแรก (First Load)เร็ว ผู้ใช้เห็นเนื้อหาหลักได้ทันที เพราะเซิร์ฟเวอร์ Render HTML ให้เสร็จแล้วช้ากว่า เพราะต้องดาวน์โหลดและรัน JavaScript ก่อน ถึงจะแสดงเนื้อหาได้ครบ
ความเร็วระหว่างเปลี่ยนหน้าอาจต้องโหลดหน้าใหม่จากเซิร์ฟเวอร์ทุกครั้งเร็วมาก เหมาะกับ SPA เพราะเปลี่ยนหน้าในฝั่ง JavaScript ไม่ต้องโหลดทั้งหน้าใหม่
ความเหมาะสมด้าน SEOดีมาก Googlebot เห็นเนื้อหาจาก HTML ได้ทันทีมีความเสี่ยง Googlebot ต้องรอ JavaScript เสร็จ อาจทำให้ Index ล่าช้าหรือไม่ครบ
การใช้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์สูงขึ้น เพราะเซิร์ฟเวอร์ต้อง Render หน้าเว็บทุก Requestน้อยลง เซิร์ฟเวอร์เน้นส่งข้อมูลผ่าน API และไฟล์ Static
การใช้ทรัพยากรฝั่ง Clientน้อยกว่า เพราะ Browser แค่รับ HTML มาแสดงมากกว่า เพราะ Browser ต้อง Render หน้าเว็บจาก JavaScript
ความซับซ้อนในการพัฒนาซับซ้อนกว่า ต้องจัดการทั้งฝั่งเซิร์ฟเวอร์และการ Render HTMLซับซ้อนในฝั่ง Frontend แต่แยกจาก Backend ชัดเจน ทำงานแยกทีมได้ง่าย
ประสบการณ์ใช้งานเว็บแบบ Web Appอาจไม่ลื่นไหลเท่า SPA หากเน้นเปลี่ยนหน้าบ่อย ๆเหมาะมากกับเว็บที่เป็น Dashboard, ระบบจัดการ, เครื่องมือออนไลน์ที่ Interactive สูง
ความเหมาะสมกับเว็บไซต์เนื้อหา (Content/Blog/News)เหมาะมาก ได้ทั้งความเร็วโหลดครั้งแรกและ SEOใช้ได้ แต่ต้องระวังเรื่อง SEO และอาจต้องปรับแต่งเพิ่ม
ต้นทุนและโครงสร้างระบบโครงสร้างระบบซับซ้อนและต้นทุนเซิร์ฟเวอร์สูงกว่าต้นทุนเซิร์ฟเวอร์ต่ำกว่า แต่ต้องบริหาร Performance ฝั่ง Client ให้ดี

วิเคราะห์ SSR vs CSR ตามมุมต่าง ๆ

หลังจากเห็นภาพรวมจากตารางแล้ว มาดูรายละเอียดในแต่ละมุมสำคัญที่มีผลต่อทั้ง Dev, SEO และเจ้าของธุรกิจ

1. ประสิทธิภาพในการโหลดหน้าเว็บไซต์ (Performance)

ในมุม Performance เรากำลังมองถึงทั้งความเร็วในการโหลดครั้งแรก และความลื่นไหลในการใช้งานต่อเนื่อง

  • SSR: หน้าเว็บจะแสดงผลให้เห็นได้เร็วตั้งแต่คลิกแรก เพราะฝั่งเซิร์ฟเวอร์ได้ Render HTML ที่พร้อมใช้งานมาให้โดยตรง ทำให้คะแนนส่วน First Contentful Paint (FCP) และ Time to Interactive (TTI) มักจะดีกว่า
  • CSR: ในรอบแรกที่โหลดเว็บไซต์อาจใช้เวลานานกว่า เพราะ Browser ต้องรอโหลด JavaScript ทั้งหมด แต่หลังจากนั้นการโหลดข้อมูลในหน้าอื่น ๆ จะรวดเร็วมากขึ้น เพราะดึงข้อมูลแบบ API โดยไม่ต้องโหลดทั้งหน้าใหม่

ถ้าโฟกัสที่ First Impression และการโหลดหน้าแรกเร็ว SSR จะได้เปรียบ แต่ถ้าเน้นการใช้งานแบบ Web App ที่ผู้ใช้เปิดแล้วอยู่ในระบบนาน ๆ CSR จะให้ความรู้สึกที่ลื่นไหลมาก

2. การทำ SEO และการจัดทำดัชนี (Indexing)

มุมนี้สำคัญมากสำหรับธุรกิจที่พึ่งพา Traffic จาก Google เป็นหลัก เช่น เว็บไซต์บริษัท, เว็บให้ความรู้, Blog, Magazine, Marketplace เป็นต้น

  • SSR: เหมาะกับการทำ SEO มาก เพราะเนื้อหาถูก Render ออกมาเป็น HTML ที่ Bot เห็นได้เลยทันที ทำให้การจัดทำดัชนี (Indexing) มีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น
  • CSR: อาจไม่เหมาะกับการ SEO แบบดั้งเดิม เนื่องจากเนื้อหาจะถูก Render ผ่าน JavaScript ซึ่งทำให้ Google Bot ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้ในทันที อาจต้องใช้เทคนิคเฉพาะ เช่น Dynamic Rendering เข้ามาช่วย

โดยสรุป ถ้า SEO เป็นเสาหลักของธุรกิจ SSR จะเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยและตรงไปตรงมามากกว่า

3. User Experience (UX) และระดับการโต้ตอบ

ในแง่ UX เราไม่ได้มองแค่ความเร็ว แต่รวมถึงความรู้สึกต่อเนื่องในการใช้งาน และระดับ Interactive ของเว็บด้วย

  • SSR: เหมาะกับเว็บไซต์ที่ต้องการให้แสดงผลข้อมูลบนหน้าเว็บอย่างรวดเร็วและชัดเจน เช่น เว็บข่าว บทความ Landing Page ที่เน้นสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น
  • CSR: ประสบการณ์การใช้งานเว็บจะราบรื่นมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้งานเว็บไซต์คลิกไปยังหน้าอื่น ๆ หรือมีการ Interact กับเว็บไซต์บ่อย ๆ จึงเหมาะกับ Web Application ที่มีความ Interactive สูง เช่น Dashboard หรือระบบแชท

สรุปง่าย ๆ คือ ถ้าเว็บเน้นอ่านเป็นหลัก SSR ดี ถ้าเว็บเน้นใช้งานเป็นเครื่องมือ CSR เด่น

อ่านบทความที่น่าสนใจ:10 Metrics สำคัญที่บอกว่า UX เว็บไซต์คุณดีหรือแย่

4. การพัฒนาและการดูแลรักษาระยะยาว

มุมนี้สำคัญสำหรับทีม Dev และผู้บริหารที่ต้องวางแผนระยะยาว เพราะเทคโนโลยีที่เลือกใช้วันนี้ จะส่งผลต่อความยืดหยุ่นในอนาคต

  • SSR: มีความซับซ้อนมากกว่าในด้านการพัฒนาและดูแลรักษา เนื่องจากต้องมีการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ให้สามารถ Render ข้อมูลแบบเรียลไทม์ และอาจใช้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์สูงขึ้น
  • CSR: เหมาะสำหรับทีมที่ต้องการระบบเว็บไซต์ที่ดูแลรักษาง่ายในระยะยาว เพราะโครงสร้างแยกชัดเจนระหว่างฝั่ง Frontend และ Backend ทำให้สามารถพัฒนาแต่ละส่วนได้อย่างอิสระ

ถ้าทีม Dev ถนัดทำงานแบบแยก Front/Back ชัดเจน และต้องการความคล่องตัว CSR จะตอบโจทย์มาก แต่ถ้าทีมมีประสบการณ์ด้าน SSR และต้องโฟกัส SEO สูง ก็อาจเลือก SSR หรือ Hybrid

5. ต้นทุนและงบประมาณ

ปัจจัยด้านงบประมาณเป็นส่วนที่หลายธุรกิจมักมองข้ามตอนเริ่ม แต่สำคัญมากในระยะยาว

  • SSR: มักใช้งบประมาณสูงกว่าในการโฮสต์ เพราะต้องใช้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์มากขึ้นในการ Render หน้าเว็บไซต์แบบเรียลไทม์
  • CSR: จะช่วยลดภาระบนเซิร์ฟเวอร์ได้ดีกว่า ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านเซิร์ฟเวอร์ต่ำลง เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากพร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม ควรคิดรวมกับต้นทุนด้าน Dev, การดูแล Performance ฝั่ง Client, และการจัดการ SEO ซึ่งอาจทำให้ภาพรวมไม่ได้ถูกกว่ากันเสมอไป ขึ้นกับโจทย์ของแต่ละธุรกิจ

แนวทางเลือกใช้ SSR หรือ CSR ให้เหมาะกับเว็บไซต์ของคุณ

เมื่อรู้ทั้งข้อดีข้อเสียของ SSR และ CSR แล้ว คำถามสำคัญคือ แล้วเว็บของเราควรใช้แบบไหน? ส่วนนี้จะช่วยให้เห็นแนวทางคิดเพื่อตัดสินใจได้ชัดเจนขึ้น

เมื่อไหร่ควรเลือกใช้ SSR เป็นหลัก

หัวข้อนี้จะช่วยให้คุณเช็กได้ว่าเว็บไซต์ของคุณเข้าข่ายควรเน้นไปที่ SSR หรือไม่ เหมาะถ้าเว็บของคุณเป็นประเภท

  • เว็บไซต์บริษัท (Corporate Website) ที่ต้องการภาพลักษณ์มืออาชีพ โหลดเร็ว
  • บทความ, Blog, Magazine หรือเว็บ Content ที่ต้องการอันดับ SEO
  • Landing Page แคมเปญที่ต้องสร้างความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่คลิก
  • เว็บที่เน้น Organic Traffic จาก Google เป็นหลัก

เมื่อไหร่ควรเลือกใช้ CSR เป็นหลัก

ในทางกลับกัน CSR ก็มีจุดเด่นที่เหมาะกับบางประเภทเว็บไซต์มากเป็นพิเศษ เหมาะถ้าเว็บของคุณเป็นประเภท

  • Web Application ที่เน้นการโต้ตอบ เช่น Dashboard, ระบบจัดการข้อมูล, SaaS
  • ระบบภายในองค์กร (Internal System) ที่ไม่ได้พึ่ง SEO
  • เครื่องมือออนไลน์ที่ผู้ใช้ต้องอยู่บนหน้าจอนาน ๆ คลิกไปมาเยอะ ๆ
  • โปรเจกต์ที่ต้องการปรับเปลี่ยน UI บ่อย ๆ และทีม Dev ถนัด Framework ฝั่ง Client

เมื่อไหร่ควรใช้แบบ Hybrid หรือผสมผสาน

ในโลกจริง หลายเว็บไซต์ไม่ได้เลือกแบบใดแบบหนึ่งแบบสุดขั้ว แต่ใช้แนวทาง Hybrid หรือ Isomorphic Rendering ผ่าน Framework สมัยใหม่ เช่น

  • Next.js (สำหรับ React)
  • Nuxt.js (สำหรับ Vue)

แนวทางนี้คือ

  • หน้าแรกหรือหน้าที่ต้องการ SEO ใช้ SSR
  • ส่วนที่เป็น Dashboard หรือหน้าที่เน้น Interaction ใช้ CSR / SPA

ทำให้ได้ข้อดีของทั้งสองฝั่งในเว็บเดียวกัน แต่ก็ต้องอาศัยทีม Dev ที่เข้าใจเรื่องนี้ดีพอเช่นกัน

สร้างเว็บไซต์ธุรกิจที่ใช่ไปกับ Blupaper

การตัดสินใจเลือกระหว่าง Server Side Rendering และ Client Side Rendering ไม่ใช่แค่ทางเลือกระหว่างเทคโนโลยี แต่เป็นตัวกำหนดเว็บไซต์ของเราในด้านความเร็ว UX และการจัดอันดับบน Googleการเลือกโครงสร้างเว็บไซต์ที่ผิดตั้งแต่แรกอาจทำให้เราเสียเวลา เสียเงิน ในการตามแก้ปัญหา Technical SEO ที่ซับซ้อนในภายหลัง

แทนที่จะลองผิดลองถูก ให้ Blupaper ช่วยจัดการให้ เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยวางโครงสร้างเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับเป้าหมาย พร้อมออกแบบเว็บไซต์ที่ใส่ใจทั้งด้าน UX และ SEO ตั้งแต่โค้ดบรรทัดแรก ปรึกษา Blupaper ฟรี! ให้เว็บคุณโดนใจทั้งผู้ใช้และ Google!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำเว็บไซต์

Q: CSR ไม่ดีต่อ SEO จริงไหม?

A: CSR สามารถทำ SEO ได้ เพราะ Googlebot สามารถ Index เนื้อหาจาก Client Side Rendering ได้ แต่ต้องใช้เวลานานและใช้พลังงานในการ Crawl มากกว่า ถ้าต้องการผลลัพธ์ SEO ที่รวดเร็วและแม่นยำ SSR จะได้เปรียบกว่า

Q: Frameworks ที่ใช้มีผลต่อการเลือก SSR และ CSR อย่างไร?

A: มีผลอย่างมาก เพราะ Framework ยอดนิยมอย่าง React (Next.js) และ Vue (Nuxt.js) ช่วยให้สามารถเลือกใช้ SSR หรือ CSR ได้ง่ายขึ้น ทำให้การทำ Isomorphic Rendering ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

Q: SSR เหมาะกับเว็บไซต์ที่มี Traffic สูงไหม?

A: สามารถใช้ได้ แต่ถ้า Traffic สูงมาก SSR อาจทำให้ Server ล่มได้ง่าย เพราะ Server ต้องประมวลผลทุก Request ในทางปฏิบัติ อาจต้องใช้เทคนิค Caching เข้ามาช่วย หรือใช้ CSR ที่ประหยัดภาระ Server มากกว่า

Q: การเลือกใช้ SSR หรือ CSR มีผลต่อค่าโฮสติ้งมากน้อยแค่ไหน?

A: มีผลมาก เพราะ SSR ต้องใช้ Server ที่แรงกว่า จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า เพราะต้อง Render ทุกครั้งที่มี Request ส่วน CSR ช่วยประหยัดค่า Server ได้มากกว่า เพราะภาระการ Render อยู่ที่ Client แต่ต้องเพิ่มงบที่การดูแล Performance ฝั่ง Client แทน

Q: การ Debug โค้ดแบบไหนง่ายกว่า?

A: CSR มักจะง่ายกว่าในการ Debug ฝั่ง Client เพราะสามารถใช้เครื่องมือ Developer Tool ใน Browser ได้เลย แต่ SSR ต้องมีการ Debug ทั้งฝั่ง Server และ Client ซึ่งมีความซับซ้อนมากกว่ามาก