Chatbot Script คืออะไร และสำคัญอย่างไรต่อยอดขาย

Chatbot Script คือข้อความหรือบทสนทนาที่ถูกออกแบบไว้ล่วงหน้า เพื่อใช้เป็น “คู่มือการพูดคุย” ของบอทกับลูกค้า โดยบทบาทของสคริปต์คือการสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าอยากโต้ตอบ เก็บข้อมูลสำคัญ และพาลูกค้าไปสู่ Call-to-Action (CTA) เช่น การลงทะเบียนหรือสั่งซื้อสินค้า เมื่อออกแบบ Chatbot อย่างมีประสิทธิภาพ มันจะทำหน้าที่เหมือนผู้ช่วยขายที่พร้อมทำงาน 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขาย และดัน Conversion ให้ธุรกิจเติบโตได้มากกว่าการใช้แอดมินมนุษย์ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายและข้อจำกัดบางประการ ประเภทของ Chatbot Script ยอดนิยม
- Lead Generation Bot: เก็บข้อมูลลูกค้า เช่น ชื่อ อีเมล หรือเบอร์โทร เพื่อส่งต่อให้ทีมขาย
- FAQ Bot: ตอบคำถามที่พบบ่อย ช่วยให้ลูกค้าได้คำตอบทันที ลดภาระของทีมงาน
- Product Finder Bot: ช่วยแนะนำสินค้า/บริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
- Booking Bot: อำนวยความสะดวกในการจองโต๊ะ นัดหมาย หรือบริการต่าง ๆ
- Cart Recovery Bot: ทักลูกค้าที่ทิ้งตะกร้าไว้ พร้อมข้อเสนอหรือส่วนลดเพื่อกระตุ้นให้กลับมาซื้อ
ตั้งเป้าหมายและ KPI ก่อนสร้าง Chatbot
ก่อนเริ่มสร้าง Chatbot สิ่งสำคัญที่สุดคือการกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บลีด (Lead Generation), นัดคุยกับทีมขาย (Booking/Appointment), ปิดการขาย (Sales Conversion) หรือ พาลูกค้ากลับมาตะกร้าที่ทิ้งไว้ (Cart Recovery) ซึ่งทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของ Automation Marketing ที่ช่วยให้ธุรกิจสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
พร้อมกันนั้นควรกำหนด KPI (ตัวชี้วัดความสำเร็จ) เพื่อประเมินว่าบอททำงานได้ตามที่คาดหวังหรือไม่ ตัวอย่าง KPI ที่แนะนำ เช่น
- Reply Rate อัตราการตอบกลับของผู้ใช้งานต่อข้อความแรกของบอท
- Step Completion Rate อัตราการที่ผู้ใช้งานทำขั้นตอนในบทสนทนาครบตามที่ออกแบบ
- Lead Rate จำนวนลีดใหม่ที่ได้จากการสนทนา
- Qualification Rate สัดส่วนลีดที่ตรงตามเกณฑ์คุณภาพ
- Booking Rate จำนวนการนัดหมายหรือการจองที่เกิดขึ้นจริง
- Time-to-First-Reply เวลาที่ลูกค้าได้รับการตอบกลับครั้งแรก (ควรสั้นและทันที)
เข้าใจผู้ใช้และ Intent ก่อนเริ่มเขียน
Step ถัดไปในการสร้าง Chatbot คือการทำความเข้าใจว่า กลุ่มเป้าหมายคือใคร พวกเขามี ปัญหาหรือความต้องการอะไร (Intent)และมักจะถามคำถามแบบไหนบ่อยที่สุด เช่น รายละเอียดสินค้า ราคา โปรโมชั่น หรือขั้นตอนการสั่งซื้อ
โดยทั่วไป Intent หลักของผู้ใช้มักอยู่ใน 4 เรื่องใหญ่ ๆ ได้แก่
- การหาข้อมูลสินค้า (Product Information)
- การสอบถามราคา/โปรโมชั่น (Price & Offer)
- การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ (Trust & Proof)
- การขอวิธีสั่งซื้อหรือนัดหมาย (Order & Booking)
นอกจากนี้ ควรรวบรวม Objection (ข้อกังวลหรือข้อโต้แย้ง) ที่ลูกค้ามักถามซ้ำ ๆ เช่น ราคาสูงไปไหม จัดส่งช้าหรือเปล่า หรือ มีรีวิวจริงไหม เพื่อเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้า เมื่อบอทสามารถตอบได้ตรงจุด จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้น
โครงสคริปต์มาตรฐานที่ตอบกลับจริง (Flow Framework)

การออกแบบ Chatbot มีรายละเอียดของโครงสร้างสคริปต์ดังต่อไปนี้
- Hook:เปิดการสนทนาด้วยคำทักทายที่มีคุณค่า หรือคำถามสั้น ๆ ที่ชวนตอบ เช่น “กำลังมองหาสินค้า/บริการแบบไหนอยู่คะ?”
- Value: บอกประโยชน์หรือสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับทันที เพื่อดึงความสนใจให้อยากคุยต่อ
- Choice: เสนอปุ่มกด (Quick Reply/Button) แทนการพิมพ์ ลดความยุ่งยากและช่วยให้โต้ตอบเร็วขึ้น
- Qualify: ถามคัดกรองสั้น ๆ 2–4 ข้อ เพื่อเข้าใจความต้องการ เช่น งบประมาณ ระยะเวลา หรือความสนใจหลัก
- Offer: แนะนำสิ่งที่ตรงกับคำตอบ
- CTA: กระตุ้นให้ลงมือทำ เช่น กดนัดเวลา ขอรับโค้ดส่วนลด หรือกดลิงก์ไปหน้าชำระเงิน
- Next Step: เสนอทางเลือกอื่น หากลูกค้ายังไม่พร้อมซื้อ เช่น เสนอคอนเทนต์ให้ศึกษาเพิ่ม หรือชวนให้ติดตามโปรโมชั่นครั้งหน้า
15 เทคนิคเขียนสคริปต์สร้าง Chatbot ให้มีคนตอบจริง

1. ใช้ข้อความไม่เกิน 120 ตัวอักษร พร้อมคำถามปลายเปิด เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้ตอบกลับ เช่น กำลังมองหาวิธีเพิ่มยอดขายอยู่หรือเปล่า?
2. หนึ่งข้อความ = หนึ่งการกระทำ อย่าใส่หลายคำสั่งในข้อความเดียว ให้ผู้ใช้ตัดสินใจทีละขั้น จะเข้าใจและตอบได้ง่ายขึ้น
3. ใช้ Quick Reply หรือปุ่มกดนำทาง ช่วยลดภาระการพิมพ์ และควบคุมทิศทางบทสนทนาได้ดีกว่า เช่น
- อยากดูสินค้า
- อยากคุยกับทีมงาน
- ดูโปรโมชั่น
4. เพิ่ม Social Proof แบบกระชับ ใส่รีวิวลูกค้าหรือจำนวนผู้ใช้จริง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น มีผู้ใช้กว่า 2,000 คนเลือกใช้บริการนี้แล้ว
5. ใช้ Personalization ให้ดูเป็นส่วนตัว เรียกชื่อ เมือง หรือสิ่งที่ลูกค้าสนใจ เพื่อให้รู้สึกว่าบอท เข้าใจเขาจริง ๆ
6. ตั้งคำถามคัดกรองที่ตอบง่ายเลือกคำถามที่ตอบได้ทันที เช่น งบประมาณเท่าไหร่? หรือสนใจรุ่นไหนมากที่สุด?
7. สรุปตัวเลือกให้ชัดเจน ใช้คำตอบที่เข้าใจง่าย เช่น ใช่ / ไม่ใช่ / อยากรู้เพิ่มเติม เพื่อให้ผู้ใช้ตัดสินใจได้เร็ว
8. ใช้ภาษาธรรมชาติ กระชับ และเป็นกันเองหลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิคยาว ๆ หรือประโยคซับซ้อน ให้เหมือนคุยกับเพื่อนคนหนึ่งมากกว่าอ่านโฆษณา
9. ใช้ Delay และ Typing Indicator อย่างพอดี เพิ่มความรู้สึกเหมือนคุยกับคนจริง โดยให้บอทพิมพ์หน่วงเล็กน้อย แต่ไม่ควรเกิน 2–3 วินาทีต่อข้อความ
10. เตรียม Fallback ทุกจุด หากบอทไม่เข้าใจคำตอบ ให้แนะนำทางเลือก เช่น ขออภัย ฉันไม่เข้าใจ ลองเลือกเมนูด้านล่าง หรือพิมพ์ติดต่อทีมงาน
11. ตอบข้อโต้แย้ง (Objection) อย่างกระชับ จัดการข้อสงสัยด้วยหลักฐานจริง เช่น รีวิวลูกค้า การันตีความพึงพอใจ หรือเงื่อนไขคืนเงิน
12. เสนอสิ่งตอบแทนเพื่อเก็บข้อมูล ให้ลูกค้ามีแรงจูงใจ เช่น คูปอง ส่วนลด หรือไฟล์คู่มือฟรี เพื่อแลกกับการกรอกข้อมูลสำคัญ
13. ปิดท้ายด้วย CTA ที่ชัดเจน บอกให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่อไปอย่างตรงไปตรงมา เช่น
- นัดคุยกับทีม
- เพิ่มเพื่อนไลน์
- ชำระเงิน
- ดูแผนที่
14. อนุญาตให้ข้ามขั้นตอนที่ไม่เกี่ยวข้อง อย่าบังคับผู้ใช้ให้ตอบทุกข้อ ให้ข้ามบางขั้นตอนเพื่อป้องกันการหลุดออกจากบทสนทนา
15. สรุปและยืนยันข้อมูลก่อนจบ ทวนข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อ เบอร์โทร หรือรายการที่สนใจ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าข้อมูลถูกต้องครบถ้วน
คำถามคัดกรอง (Qualification) ที่ตอบง่ายและได้คุณภาพ
การทำ Chatbot Marketing ควรออกแบบคำถามให้ตอบง่าย แต่ยังได้ข้อมูลสำคัญเพื่อไปวิเคราะห์ในการสร้างยอดขาย โดยใช้แนวทาง BANT (Budget / Authority / Need / Timeline) ดังนี้
- งบประมาณ (B):คุณตั้งงบประมาณไว้เท่าไหร่?
- ผู้ตัดสินใจ (A):สินค้านี้คุณซื้อใช้เองหรือซื้อให้ใคร? เพื่อจะได้รู้ว่าใครคือ Decision Maker ตัวจริง
- ความต้องการ (N / C / H): คุณอยากใช้เพื่อทำอะไร? หรือปัญหาหลักที่อยากแก้คืออะไร? ทำให้เข้าใจ Pain Point หรือ Use Case ที่แท้จริง
- ระยะเวลา (T):คุณต้องการเริ่มใช้งานเมื่อไร? เช่น ภายใน 1 เดือน, 3 เดือน, หรือยังไม่มีแผนแน่ชัด
การเก็บข้อมูลอย่างเนียน ระวัง PDPA/ความเป็นส่วนตัว
การเก็บข้อมูลผ่าน AI Chatbot ต้องทำอย่างโปร่งใสและเคารพความเป็นส่วนตัวของลูกค้าเสมอ ด้วยการแจ้งวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน ว่านำข้อมูลไปทำอะไร เช่น เพื่อนัดหมาย หรือเพื่อส่งข้อเสนอที่ตรงความต้องการ พร้อมแสดงปุ่ม “ยินยอม / ปฏิเสธ” ให้ลูกค้าตัดสินใจด้วยตัวเอง และควรเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ไม่ควรถามข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันความอึดอัดและลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย
สุดท้าย อย่าลืมใส่ลิงก์ไปยังนโยบายความเป็นส่วนตัวของธุรกิจ และแสดงช่องทางให้ผู้ใช้สามารถยกเลิกการติดต่อได้ทุกเมื่อ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้ปฏิบัติตาม PDPA แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าเห็นว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวอย่างแท้จริง
การจัดการข้อโต้แย้ง (Objection Handling) แบบสั้น กะทัดรัด
การออกแบบ Chatbot ที่ดีไม่ใช่แค่ตอบคำถาม แต่ต้องตอบโจทย์ในการลดความลังเลของลูกค้าได้ ตัวอย่างเช่น
- ราคาแพงเน้นพูดถึงเรื่องความคุ้มค่า เช่น จ่ายครั้งเดียวใช้งานได้ยาวนาน พร้อมเสนอทางเลือกอย่าง แผนผ่อนชำระ หรือ การันตีผลลัพธ์ เพื่อเพิ่มความมั่นใจ
- ไม่มั่นใจคุณภาพ:ใช้รีวิวจริงจากลูกค้า, Case Study ที่พิสูจน์แล้ว หรือเสนอช่วงทดลองใช้งาน เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
- กลัวการติดตั้ง/ใช้งานยาก:แก้ด้วยการยืนยันว่ามีทีม Onboarding ดูแลตั้งแต่เริ่มต้น มี วิดีโอสอนใช้งานทีละขั้นตอน และทีมซัพพอร์ต 24 ชม.ที่พร้อมช่วยเหลือ
Fallback, Escalation และ Handover to Human
แม้ AI Chatbot จะช่วยตอบได้หลากหลาย แต่ก็ต้องเตรียมส่งต่อให้เจ้าหน้าที่แอดมินดูแล ถ้าเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนขึ้น เช่น
- Fallback ที่สุภาพ:ตั้งประโยคสำรองในกรณีที่บอทไม่เข้าใจ เช่น ขอโทษค่ะ ฉันอาจไม่เข้าใจคำถามนี้ คุณอยากลองเลือกจากเมนูด้านล่างไหม? พร้อมแสดงปุ่มเมนูหรือ Quick Reply เพื่อให้ผู้ใช้ไปต่อได้
- เกณฑ์ส่งต่อเจ้าหน้าที่ (Escalation): หากเจอคีย์เวิร์ดที่อ่อนไหว ซับซ้อนเกินกว่าบอทจะตอบ เช่น คำถามเฉพาะทาง ปัญหาการใช้งานที่ละเอียด หรือการสอบถามราคาพิเศษ ควรส่งต่อให้เจ้าหน้าที่แอดมินทันที
- Handover to Human:เมื่อส่งต่อเจ้าหน้าที่ต้องแจ้งเวลาตอบกลับที่คาดการณ์ได้ เช่น ทีมงานจะติดต่อกลับภายใน 30 นาที” และควรเก็บ ช่องทางติดต่อสำรอง เช่น เบอร์โทรหรืออีเมล เพื่อป้องกันการหลุดจากระบบ
การออกแบบประสบการณ์ต่อเนื่องข้ามช่องทาง (Omnichannel)
การออกแบบ Chatbot ที่ดีต้องเชื่อมโยงทุกช่องทางการสื่อสารเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Web Chat, LINE OA, Messenger, WhatsApp หรือแม้แต่ อีเมล/SMS เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ต่อเนื่องและรู้สึกประทับใจ โดยสิ่งสำคัญคือการเก็บ Context ของการสนทนากลับเข้าสู่ระบบCRM หรือ CDP เพื่อลูกค้าจะได้ไม่ต้องตอบคำถามซ้ำ ทำให้การสนทนาลื่นไหลต่อเนื่อง นอกจากนี้ ควรตั้งทริกเกอร์อัตโนมัติ เช่น แจ้งเตือนเมื่อมีการทิ้งตะกร้าสินค้า อยู่ในหน้าแพ็กเกจนานผิดปกติ หรือ คลิกโฆษณา แล้วไม่ตัดสินใจซื้อ เพื่อดึงลูกค้าให้กลับมาซื้ออีกครั้ง
การวัดผลและการทดลอง (Analytics & A/B Testing)
Chatbot Marketing ที่มีประสิทธิภาพต้องวัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการออกแบบ Funnel การสนทนา ที่ชัดเจน เช่น View → Start → Reply → Qualify → Offer → CTA → Goal เพื่อให้เห็นเส้นทางของผู้ใช้งานตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงเป้าหมายสุดท้าย อีกทั้งควรทำ A/B Testing เช่น เปรียบเทียบ Hook ประโยคแรกว่าแบบไหนกระตุ้นการตอบกลับได้ดีกว่า ทดลองจำนวนตัวเลือกที่ให้กดว่ามากหรือน้อยเกินไป ลองปรับลำดับคำถาม ให้สั้น กระชับ และทดสอบรูปแบบข้อเสนอ (Offer) ที่ต่างกันว่ามีผลต่อ Conversion หรือไม่
ที่สำคัญคือการ วัด Drop-off รายสเต็ป ว่าลูกค้าหลุดออกไปตรงจุดไหนมากที่สุด เช่น ไม่ตอบหลัง Hook แรก หรือออกจากบทสนทนาตอน Qualify แล้วนำข้อมูลนั้นมาปรับปรุงสคริปต์ใหม่เพื่อลดการหล่นและพาผู้ใช้ไปถึง Goal ได้มากขึ้น
ตัวอย่างสคริปต์สำหรับสร้าง Chatbot
เพื่อให้การสร้าง Chatbot เป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น นี่คือตัวอย่างสคริปต์ที่เหมาะกับการใช้งานแต่ละรูปแบบ ดังต่อไปนี้
1. Lead Generation (สินค้า/บริการ B2C)
- Hook: “อยากได้แผน… ที่เหมาะกับงบของคุณไหม? เลือกงบประมาณคร่าว ๆ ได้เลย
- Qualify:“สนใจใช้งานเมื่อไร”
- Offer:นำเสนอข้อมูลสินค้า/บริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
- CTA: กดสั่งซื้อได้เลย, เลือกดูสินค้าเพิ่มเติม หรือ กดผ่อนชำระสินค้า
2. Product Finder (อีคอมเมิร์ซ)
- Hook:“กำลังมองหาสินค้าแบบไหน”
- Qualify: “ขนาด/สี/การใช้งานหลัก?”
- Offer:ส่งการ์ดสินค้า 3 ตัวเลือก + รีวิวสั้น ๆ
- CTA:เพิ่มสินค้าลงตะกร้า หรือ เปรียบเทียบสินค้า
3. Cart Recovery
- Hook:“สินค้ายังอยู่ในตะกร้า ลดเพิ่ม 10% ถ้าชำระภายในวันนี้”
- Objection:“ยังลังเลเรื่อง…” จากนั้นช่วยตอบข้อกังวลของลูกค้า
- CTA:ชำระเงินตอนนี้ หรือ ให้ติดต่อกลับภายหลัง
4. นัดหมาย/เดโม (B2B)
- Hook: “อยากดูเดโม 15 นาทีไหม เลือกเวลาที่สะดวกได้เลย”
- Qualify:“ใช้สำหรับกี่ท่าน”
- CTA: ยืนยันพร้อมส่งรายละเอียดสรุปการนัดหมาย
Checklist ก่อนปล่อยบอทจริง
ก่อนที่ AI Chatbot จะเริ่มใช้งานกับลูกค้าจริง ควรตรวจสอบรายละเอียดเหล่านี้ให้ครบถ้วน เพื่อให้การสนทนาราบรื่น น่าเชื่อถือ และสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้จริง
- ข้อความแรกต้องชัดเจนและจบด้วยคำถาม เพื่อดึงให้ผู้ใช้ตอบกลับทันที
- มีปุ่มตัวเลือกใน 3–4 ขั้นแรก ลดภาระการพิมพ์และทำให้ผู้ใช้เข้าใจได้เร็ว
- คำถามคัดกรองไม่เกิน 4 ข้อ เพื่อเก็บข้อมูลสำคัญอย่างกระชับ
- มีสคริปต์ตอบข้อโต้แย้ง พร้อมหลักฐานยืนยัน เช่น รีวิวจริง การันตี หรือเงื่อนไขคืนเงิน
- ตั้งค่า Fallback และช่องทางให้ผู้ใช้เลือกคุยกับเจ้าหน้าที่ เมื่อบอทไม่เข้าใจ
- แสดงข้อความขอความยินยอม พร้อมลิงก์นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อให้โปร่งใสและสอดคล้องกับ PDPA
- เก็บข้อมูลเข้าสู่ระบบ CRM หรือ CDP อัตโนมัติลดงานซ้ำซ้อนและต่อยอดการขายได้
- วาง KPI, Dashboard และแผน A/B Test ล่วงหน้า เพื่อติดตามผลและปรับปรุงบอทให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เริ่มออกแบบ Script Chatbot วันนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสปิดการขาย
การสร้าง Chatbot ที่มีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากการออกแบบสคริปต์ที่ดี เพราะสคริปต์คือหัวใจที่จะทำให้ลูกค้า “เริ่มคุยง่าย ตอบต่อเนื่อง และตัดสินใจได้เร็ว” เคล็ดลับสำคัญคือการเปิดด้วย Hook ที่ใช่ ใช้ตัวเลือกที่ชัดเจน ตั้งคำถามคัดกรองเท่าที่จำเป็น และปิดด้วย CTA ที่ผู้ใช้งานทำได้ทันที นอกจากนี้ควร ทดสอบ วัดผล และปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บอทฉลาดขึ้นและกลายเป็นผู้ช่วยขายที่เก่งขึ้นเรื่อย ๆ หากคุณต้องการ เทมเพลตสคริปต์ที่ออกแบบสำหรับธุรกิจเฉพาะทาง หรืออยากให้ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก Blupaper ช่วยออกแบบ ทดสอบ เชื่อมต่อกับ CRM และตั้ง KPI ครบทุกขั้นตอน ติดต่อเรา โทร. 094-454-2495
5 คำถามหลักในการเขียนสคริปต์แชตบอทให้ตอบกลับได้จริง
Q: ข้อความแรกยาวแค่ไหนถึงจะดี
A: จำกัดความยาวไม่เกิน 120 ตัวอักษร และควร จบด้วยคำถามปลายเปิด เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้ตอบกลับ เช่น อยากรู้วิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ไหม?
Q: คำถามคัดกรองควรมีกี่ข้อ
A: ใช้เพียง 2–4 คำถามเท่านั้น ก็เพียงพอสำหรับเก็บข้อมูลเบื้องต้น ส่วนข้อมูลเชิงลึก เช่น ความต้องการเฉพาะหรือรายละเอียดโครงการ ค่อยให้เจ้าหน้าที่หรือทีมเซลส์สอบถามต่อภายหลัง
Q: ถ้าผู้ใช้ไม่ตอบกลับ ควรทำอย่างไร
A: ส่งข้อความเตือน (Reminder) สั้น ๆ ภายใน 5–15 นาที เพื่อดึงความสนใจกลับมา พร้อมแนบปุ่มตัวเลือกใหม่ เช่น ดูโปรโมชั่นอื่นหรือพูดคุยกับทีมงาน เพื่อเปิดโอกาสให้เลือกทางอื่นแทน
Q: จำเป็นต้องใช้ AI หรือ NLP ตั้งแต่แรกไหม
A: ไม่จำเป็น เริ่มจากการใช้ เมนูหรือปุ่มตัวเลือก (Rule-based Chatbot) ก่อน เพื่อควบคุมทิศทางบทสนทนา เมื่อเริ่มรู้ว่าคำถามยอดฮิตของลูกค้ามีอะไรบ้าง ค่อยเสริมระบบ NLP (Natural Language Processing) เข้ามาช่วยให้บอทเข้าใจภาษาธรรมชาติได้ดีขึ้น
Q: จะรู้ได้อย่างไรว่าสคริปต์ดีหรือไม่
A: ประเมินจากตัวชี้วัดหลัก เช่น
- Reply Rate – อัตราการตอบกลับของผู้ใช้
- Step Completion Rate – จำนวนผู้ใช้ที่ทำแต่ละขั้นตอนจบ
- Lead / Booking Rate – อัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าหรือการนัดหมาย
- Drop-off Rate ต่อสเต็ป – ดูว่าผู้ใช้หลุดออกจากบทสนทนาที่จุดใดมากที่สุด