เจนนี่ไลฟ์สดขายของได้รับความสนใจมากขึ้นจากปัญหาความสัมพันธ์กับแม่

ขอบคุณรูปจาก FB :Somruay Phetrit

“เจนนี่ ไลฟ์สด” เริ่มต้นมาจากไหน?

เจนนี่ รัชนก สุวรรณเกตุ หรือ เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ได้สร้างความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ให้กับวงการขายออนไลน์อย่างที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน ความสำเร็จของเธอไม่ได้มาจากแผนการตลาดที่ซับซ้อน แต่เกิดมาจากจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจชั่วข้ามคืน

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในวันที่ความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างเธอกับคุณแม่เป็นที่พูดถึงในวงกว้าง เจนนี่ตัดสินใจเผชิญหน้ากับกระแสสังคมด้วยการไลฟ์สดด้วยหน้าสด ชุดนอน และน้ำตาคลอเบ้า พร้อมแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีทีม PR หรือสคริปต์คอยกำกับ

การที่เจนนี่ไลฟ์สดในวันนั้น ดึงดูดผู้ชมหลายแสนคนที่กำลังติดตามข่าวให้เข้ามารับชมอย่างล้นหลาม และการแสดงออกถึงความเปราะบางและความจริงใจที่เจนนี่แสดงออกมาในวันนั้น ทำให้เหล่าผู้ชม เกิดความเห็นใจจนแปรเปลี่ยนเป็นแรงสนับสนุน ทำให้เมื่อเจนนี่หยิบสินค้าที่ปักตะกร้าไว้มาแนะนำอย่างเป็นกันเอง เหล่าผู้ชมก็พร้อมใจกันอุดหนุนสินค้า จนเธอปิดยอดขายหลักสิบล้านบาทได้ในคืนเดียว

ไลฟ์สดของเจนนี่สร้างรายได้หลายทางพร้อมกัน

ขอบคุณรูปจาก FB : รัชนก สุวรรณเกตุ

โมเดลไลฟ์สดขายของได้ทะลุเป้าแบบเจนนี่

ใครอยากรู้กลยุทธ์ไลฟ์ขายของแบบเจนนี่รีบมามุงด่วน! Blupaper จะพามาดู 3 โมเดลสร้างรายได้แบบ “เจนนี่ ไลฟ์สด” ที่ทำให้เธอไม่เพียงแค่ขายของได้ แต่ยังใจคนดูอีกด้วย

1. รายได้จากสินค้าของตัวเอง

รายได้ก้อนหลักมาจากแบรนด์ในเครือของเจนนี่เอง เช่น ผลิตภัณฑ์ความงามและสินค้าไลฟ์สไตล์ เธอเริ่มจากการขายของตัวเอง เพื่อทดลองระบบ พัฒนาเทคนิค และเก็บข้อมูลลูกค้า เมื่อแบรนด์เริ่มแข็งแรง เจนนี่ก็รู้ว่ากลยุทธ์ที่ใช้ได้กับตัวเองสามารถขายต่อให้คนอื่นใช้ได้ด้วย

2. รายได้จากการไลฟ์ขายของให้แบรนด์อื่น

จุดเปลี่ยนสำคัญของโมเดลก็คือ การเปลี่ยนตัวเองจากแม่ค้าออนไลน์เป็นพิธีกรขายของ เจนนี่เปิดช่องให้แบรนด์อื่น ๆ เข้ามาจ้างไลฟ์ร่วมกับเธอ โดยตั้งราคาค่าจ้างเพียง 50,000 บาทต่อ 5 นาทีจากเดิม 200,000 บาทต่อชั่วโมง

ซึ่งการตั้งราคาแบบนี้ไม่ใช่การลดคุณค่า แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ตลาด SME เข้าถึงเจนนี่ได้ง่ายขึ้น เจ้าของแบรนด์จ่ายในราคาที่จับต้องได้ พร้อมผลลัพธ์แบบมืออาชีพ แถมยังได้ยอดขายเพิ่ม คนดูเยอะขึ้น และได้คอนเทนต์คุณภาพในเวลาเดียวกัน

พูดง่าย ๆ ก็คือ แทนที่เจนนี่จะขายของตัวเองอย่างเดียว เธอขายพื้นที่ในช่องตัวเองให้คนอื่นมาขายร่วมด้วย

3. รายได้จากค่าคอมมิชชัน

นอกจากค่าจ้างแล้ว เจนนี่ยังรับคอมมิชชันจากยอดขายของแต่ละแบรนด์ในเรต 1–15% กลายเป็นโมเดลที่ทั้งได้เงินสด ยอดขาย และคอนเทนต์ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งทำให้เธอมีรายได้หมุนหลายทางโดยไม่ต้องเสียเวลาลงทุนลงแรงเพิ่ม เมื่อไลฟ์หนึ่งครั้งสามารถต่อยอดเป็นคลิปสั้นอีกหลายชิ้น เธอก็ยิ่งได้ Exposure เพิ่มขึ้นแบบฟรี ๆ

จะเห็นได้ว่า เจนนี่สามารถสร้างรายได้จากทุกจุดของ Value Chain ตั้งแต่สินค้า ค่าจ้าง ไปจนถึงคอมมิชชันเลยทีเดียว

จุดแข็งของการไลฟ์สดขายของแบบเจนนี่มีอะไรบ้าง?

เจนนี่ไลฟ์สดด้วยความจริงใจและความเป็นตัวเองเพื่อสร้าง branding

ขอบคุณรูปจาก FB : รัชนก สุวรรณเกตุ

1. เปลี่ยนความจริงใจเป็น Branding

ในยุคที่ใคร ๆ ก็เปิดกล้องขายของได้ ความจริงใจก็กลายเป็นของหายากขึ้นมาแทน และความจริงใจนี้เองที่ทำให้ไลฟ์ขายของของเจนนี่โดดเด่นขึ้นมา

เจนนี่ไม่ได้ขายของด้วยสคริปต์หรือคำพูดสวยหรู แต่ขายด้วยความเป็นตัวเองและความตั้งใจจริง ผ่านทุกคำพูด ทุกการรีวิว และทุกรอยยิ้ม ที่สามารถส่งต่อความรู้สึกจริงให้ผู้ชมสัมผัสได้ ซึ่งเป็นการสร้าง Branding ผ่าน Personality ที่ทรงพลังกว่าการโฆษณาเป็นไหน ๆ ทำให้หลายคนไม่ได้แค่ซื้อของจากเจนนี่ แต่ซื้อเพราะเป็นเจนนี่

ในเชิงกลยุทธ์การตลาด แนวคิดนี้เรียกว่า Authenticity Marketing หรือการตลาดแบบจริงใจ ซึ่งเป็นหนึ่งใน Value ที่ทำให้แบรนด์มีความยั่งยืนและได้ Loyalty สูงกว่าคู่แข่งที่เน้นแต่โปรโมชันเพียงอย่างเดียว

2. เข้าใจกลุ่มเป้าหมายแบบอินไซต์ลึก

อีกจุดแข็งที่ทำให้เจนนี่ไลฟ์ขายของจนประสบความสำเร็จได้ก็คือ การเข้าใจ Insight ของคนดู ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายหลักของเธอ คนดูเหล่านั้นต้องการอะไร พูดแบบไหนถึงจะรู้สึกใกล้ชิด และสินค้าประเภทใดที่พวกเขาจะกดสั่งอย่างไม่ลังเล

การจะทำแบบนี้ได้ไม่ใช่การพึ่ง Data หลังบ้านเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการสังเกตแบบมนุษย์ด้วย เช่น การอ่านคอมเมนต์ระหว่างไลฟ์ หรือการทักกลับผู้ชมบางคนด้วยตัวเอง พฤติกรรมเล็ก ๆ เหล่านี้ช่วยให้เจนนี่เข้าใจอินไซต์และจับความรู้สึกของคนดูได้ลึกกว่าแค่ตัวเลข เช่น ลูกค้าชอบเวลาเธอพูดตรง ๆ หรือ คนดูอยากเห็นการใช้สินค้าจริง

3. ทำต่อเนื่องจนน่าเชื่อถือ

แน่นอนว่าเจนนี่เองก็ไม่ได้ไลฟ์ครั้งเดียวแล้วปังเลย แต่เกิดจากการทำซ้ำอย่างมีคุณภาพ เธอไลฟ์แทบทุกวัน พูดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ได้โดยไม่เบื่อ และค่อย ๆ ปรับวิธีเล่าให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนคนดูคุ้นเคยกับเธอ การทำอย่างสม่ำเสมอนี้ค่อย ๆ สร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ของเจนนี่ จนเปลี่ยนจากคนดูทั่วไปให้กลายเป็นลูกค้าประจำได้สำเร็จ

การกระทำแบบนี้ถือเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ยั่งยืน (Sustainable Marketing Strategy) เพราะในยุคที่เทรนด์เปลี่ยนทุกวัน Consistency หรือความต่อเนื่องคือสิ่งที่ทำให้แบรนด์ดูมั่นคงและจริงจัง และแบรนด์ที่รักษามาตรฐานไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงความหวือหวาระยะสั้น ก็จะกลายเป็นตัวเลือกแรกในใจลูกค้าเมื่อถึงเวลาตัดสินใจซื้อ

กลยุทธ์ไลฟ์ขายของด้วยการร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์

ขอบคุณรูปจาก TT : @janeydm

4. ใช้พลัง Collaboration ร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์

หนึ่งในจุดแข็งที่เปลี่ยนเกมของไลฟ์สดเจนนี่คือการไม่ขายคนเดียว แต่ใช้พลังของการร่วมมือมายกระดับไลฟ์สดให้สนุกและน่าดูยิ่งกว่าเดิม

แทนที่จะนั่งพูดอยู่คนเดียว เจนนี่เปิดพื้นที่ให้อินฟลูเอนเซอร์หรือเจ้าของแบรนด์มาร่วมพูดคุยด้วย
บรรยากาศเลยกลายเป็นเหมือนรายการขายของที่มีแขกรับเชิญที่ทั้งสดใหม่และมีสีสันกว่าที่เคย

ที่เห็นได้ชัดเจนคือการที่เจนนี่ชวน เชน ธนา มาร่วมไลฟ์สดขายของด้วยกัน ทำให้ยอดผู้ชมพุ่งทะลุ 20,000 คน ยอดขายแตะหลักล้าน เพราะคนดูรู้สึกว่านี่ไม่ใช่แค่ขายของธรรมดา

และยิ่งไปกว่านั้น AI ของ TikTok เองก็จดจำใบหน้าคนดังได้ ทำให้คลิปที่มีการ Collab ถูกดันต่อในหน้า For You ได้มากขึ้นอีก เรียกได้ว่าการ Collaboration กับอินฟลูเป็นทางลัดของการสร้างความน่าเชื่อถือและการเข้าถึงแห่งยุคคอนเทนต์แบบนี้เลยก็ว่าได้ เพราะชื่อเสียงของแขกรับเชิญ ไม่ได้ช่วยแค่เพิ่มยอดวิว แต่ยังช่วยเสริมพลังให้แบรนด์น่าเชื่อถือขึ้นได้ทันตาเห็นอีกด้วย

บทความน่าสนใจ :เลือก Influencer ให้โดนใจทั้งแบรนด์และลูกค้า! เคล็ดลับที่แบรนด์ใหญ่ไม่เคยบอกคุณ

15 เทคนิคเพิ่มยอดขายในไลฟ์สดให้ปังแบบเจนนี่

หลายคนอาจสงสัยว่า เจนนี่ทำยังไงให้ยอดขายพุ่งขึ้นทุกครั้งที่ไลฟ์?คำตอบก็คือ เจนนี่ไม่ได้พึ่งดวงหรือหวังพึ่งการไวรัลสั้น ๆ แต่เธอสร้างระบบการขายที่ละเอียดในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมตัว การพูด การปักหมุดสินค้า ไปจนถึงการรีไซเคิลคอนเทนต์หลังไลฟ์

มาดู 15 เทคนิคเพิ่มยอดขายในไลฟ์สดให้ปังแบบเจนนี่ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มยอดขายได้แล้ว ยังช่วยให้แบรนด์ของคุณดูจริงใจ เข้าถึงง่าย และขายได้ยั่งยืนอีกด้วย!

เจนนี่ไลฟ์สดเพิ่มยอดขายด้วยเทคนิคการปักตะกร้าสินค้า

ขอบคุณรูปจาก TT : @janeydm

1. ปักหมุดสินค้าที่ฮอตที่สุดตั้งแต่วินาทีแรก

เปิดไลฟ์มาก็ต้องยิงให้ตรงเป้า! เพราะในโลกของไลฟ์สด การดึงความสนใจตั้งแต่วินาทีแรกคือจุดตัดสินใจสำคัญ เพราะคนดูส่วนใหญ่มักเลื่อนผ่านถ้าไม่เจอสิ่งที่โดนใจทันที

ดังนั้น เจนนี่จึงมักปักหมุดสินค้าที่ฮอตที่สุดตั้งแต่เปิดไลฟ์ เพื่อดึงดูดสายตาให้หยุดอยู่กับจอ พอคนเริ่มเข้ามาดูมากขึ้น ระบบก็จะดันไลฟ์ให้มีการมองเห็นเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ถือเป็นเทคนิคเพิ่มยอดขายที่ผสานทั้งกลยุทธ์เนื้อหาและการเข้าใจ Algorithm ได้เป็นอย่างดี

2. เริ่มจากสิ่งที่ลูกค้าอยากฟัง ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการพูด

เจ้าของธุรกิจหลายคนมักเริ่มไลฟ์ด้วยการพูดถึงแบรนด์ตัวเองก่อน แต่เจนนี่เลือกทำตรงข้าม ด้วยการใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ Customer-firstเริ่มจากสิ่งที่ลูกค้าสนใจที่สุดก่อนเสมอ เช่น สินค้าราคาโปร หรือของที่คนถามถึงเยอะ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ให้คนดูรู้สึกว่า “เราเข้าใจเขา” จากนั้น พวกเขาก็พร้อมฟังต่อจนจบไลฟ์

3. มีแอดมินช่วยประจำไลฟ์ เพื่อให้จังหวะขายไม่หลุด

เบื้องหลังของเจนนี่ไลฟ์ที่ขายของที่ดูเรียลและลื่นไหล จะมีทีมงานที่ทำงานอย่างเป็นระบบเสมอ ด้วยแอดมินประจำไลฟ์ที่คอยขึ้นลิงก์ ปักตะกร้า และตอบคอมเมนต์แบบทันที ช่วยให้จังหวะขายไม่สะดุด และลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการดูแลจริง ๆ

ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคนิคเพิ่มยอดขาย ที่หลายธุรกิจอาจมองข้ามกันไปง่าย ๆ เพราะความเร็วในการตอบสนองคือจังหวะทองของการปิดการขาย

4. เข้าใจระบบ Algorithm

เจนนี่ไม่ได้พูดเก่งเพียงอย่างเดียว แต่เธอเข้าใจระบบหลังบ้านของแพลตฟอร์มยิ่งกว่าใคร ไม่ว่าจะเป็น

  • ตะกร้าที่ขึ้น Hot 999+ ระบบ TikTok จะมองว่าเป็นไลฟ์ที่ได้รับความนิยมและจะดันให้คนเห็นมากขึ้น
  • ยอดหัวใจและคอมเมนต์สูง ไลฟ์นั้นก็จะอยู่บนหน้าฟีดนานกว่าเดิม

เรียกได้ว่ามีสกิลการพูดเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ แต่ต้องรู้จักกลยุทธ์ไลฟ์ขายของที่อิงจากระบบของแพลตฟอร์มด้วย

ทีมเล็กที่ทำงานอย่างเป็นระบบก็เพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืนได้

ขอบคุณรูปจาก FB : รัชนก สุวรรณเกตุ

5. ทีมเล็กแต่ยอดเป็นล้าน ด้วยการทำงานอย่างเป็นระบบ

หลายคนคิดว่าต้องมีโปรดักชันใหญ่ถึงจะขายดี แต่เจนนี่พิสูจน์แล้วว่า การใช้มือถือแค่เครื่องเดียวกับทีม 2 คนก็สามารถสร้างยอดขายทะลุล้านได้ ถ้าทุกคนเข้าใจหน้าที่และจังหวะการทำงาน เพราะระบบหลังบ้านดี ช่วยให้ยอดขายโตได้อย่างยั่งยืน

6. ตามกระแสให้ทัน

ในยุคที่การไวรัลสำคัญเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ใครไวกว่าก็ชนะก่อน เจนนี่มักติดตามเทรนด์สินค้าในแต่ละวัน และจะรีบไลฟ์ทันทีเมื่อของชิ้นนั้นเริ่มเป็นกระแส เพราะระบบจะช่วยดันคอนเทนต์ที่ตรงกับสิ่งที่คนกำลังค้นหา ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกที่คนขายของออนไลน์ควรมีติดตัว

7. สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น

พูดเก่งแค่ไหนก็สู้โชว์ให้ดูไม่ได้! เจนนี่ไลฟ์สดแบบโชว์ให้เห็นจริงอยู่เสมอ เพราะเธอเข้าใจดีว่าคนดูไม่อยากฟังคำพูดที่ซ้ำซาก เช่น ดื่มให้ดู ใช้ให้ดู หรือทาให้ดูเลยในไลฟ์ เพราะภาพจริงสร้างความเชื่อได้มากกว่าคำพูด การรีวิวแบบเรียล ๆ จึงกลายเป็นเทคนิคสร้างความน่าเชื่อถือที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น

8. โปรโมชันต้องมีจังหวะและเงื่อนไข

หลักการตลาดง่าย ๆ แต่ได้ผลดีกว่าที่คิด เพราะการลดราคาแบบธรรมดา ๆ ไม่ได้ช่วยให้ขายดีเสมอไป แต่ต้องมีจังหวะและเงื่อนไขที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น

  • โปรโมชันแบบจำกัดเวลา เช่น ภายใน 5 นาทีเท่านั้น!
  • โปรโมชันแบบจำกัดจำนวน เช่น 100 ชิ้นสุดท้าย

การทำแบบนี้คือกลยุทธ์การตลาดแบบ FOMO ที่กระตุ้นสมองให้เหล่าคนดูรู้สึกต้องรีบซื้อก่อนพลาด ซึ่งเป็นเทคนิคเพิ่มยอดขายที่ได้ผลดีในทุกแพลตฟอร์ม

9. สร้างบรรยากาศให้สนุก ไม่ขายตรงเกินไป

เจนนี่ไลฟ์ขายของด้วยความเข้าใจว่าคนดูไลฟ์สดไม่ได้แค่อยากจะซื้อของ แต่อยากรู้สึกดีระหว่างดูด้วย เธอจึงสอดแทรกความสนุกเข้าไปในไลฟ์อยู่เสมอ ทั้งพูดคุยเล่นกับคนดู ปล่อยมุกเล็ก ๆ หรือมีช่วงพักพูดคุยสั้น ๆ เพื่อให้บรรยากาศไม่ตึงจนเกินไป แน่นอนว่า เมื่อคนดูสนุกจนเริ่มเปิดใจ พวกเขาก็จะอยู่ต่อและเปิดกระเป๋าได้อย่างง่ายดาย

10. ยืดหยุ่นและปรับแผนอยู่เสมอ

ไม่มีใครที่จะขายดีได้ในทุกวัน เจนนี่เองก็เคยเจอสถานการณ์ยอดตกเช่นกัน แต่สิ่งที่เจนนี่ต่างออกไปคือ แทนที่จะฝืน เธอเลือกที่จะปรับ ไม่ว่าจะเป็นเปลี่ยนลำดับสินค้า ปรับคำพูด หรือให้ทีมช่วยพูดแทน

เพราะการรู้จักยืดหยุ่นว่า กลยุทธ์ที่ใช้ได้เมื่อวาน อาจไม่เวิร์กในวันนี้คือ Mindset ของนักการตลาดมือโปร

นำเสนอสินค้าในไลฟ์สดขายของเหมือนเพื่อนคุยกัน ตามกลยุทธ์การตลาดแบบจริงใจ

ขอบคุณรูปจาก FB : รัชนก สุวรรณเกตุ

11. อาวุธลับคือความจริงใจ

เจนนี่ไม่พยายามเป็นคนอื่นหรือพยายามพูดให้ดูดี เธอเลือกนำเสนอด้วยภาษาธรรมดาเหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อนเรียล ๆ ให้คนดูรู้สึกสบายใจและเชื่อใจในสิ่งที่ขาย

ซึ่งคือแก่นหลักของกลยุทธ์การตลาดแบบจริงใจ (Authenticity Marketing) ที่ทุกแบรนด์สามารถเรียนรู้และนำไปใช้ได้

12. ใช้คอนเทนต์ซ้ำอย่างชาญฉลาด

หลังจบไลฟ์ เจนนี่ไม่ปล่อยคอนเทนต์ทิ้งขว้างไปอย่างน่าเสียดาย แต่จะนำมาตัดต่อเป็นคลิปสั้นลง TikTok หรือ Reels แล้วปักตะกร้าสินค้าเพิ่มอีกชั้นหนึ่ง การรีไซเคิลคอนเทนต์แบบนี้ช่วยให้แบรนด์ได้ Exposure ซ้ำหลายรอบ โดยไม่ต้องเสียเวลาสร้างคอนเทนต์ใหม่ทั้งหมด เป็นการขยายกลยุทธ์ไลฟ์ขายของให้คุ้มค่าที่สุด

13. เข้าใจพฤติกรรมแต่ละแพลตฟอร์ม

แต่ละแพลตฟอร์ม มีกลุ่มเป้าหมายต่างกัน พฤติกรรมการดูไลฟ์สดของพวกเขาก็ย่อมต่างกัน เช่น

  • TikTok:คนดูส่วนใหญ่มาเพราะความบันเทิง ต้องการความเร็ว สนุก และจังหวะที่กระชับ จึงควรพูดเร็วแต่เป็นมิตร แทรกมุกเล็ก ๆ ให้คนอยู่ดูต่อ
  • Facebook:คนดูมีอายุหลากหลายกว่า และมักต้องการข้อมูลก่อนตัดสินใจ จึงควรพูดละเอียดขึ้น มีการอธิบายสินค้า และตอบคำถามแบบเป็นกันเอง
  • Shopee / Lazada: คนดูอยู่ในโหมดพร้อมซื้ออยู่แล้ว จึงควรพูดให้สั้น ตรงประเด็น เน้นโปรโมชัน และเร่งปิดการขายในจังหวะที่เหมาะ
  • YouTube / Reels / Shorts:เหมาะที่จะนำคลิปสั้นจากไลฟ์มาต่อยอด เพื่อดึงดูดทั้งคนดูหน้าใหม่และเก่าให้มาดูไลฟ์จริงในรอบถัดไป

การใช้โทนการพูดและจังหวะต่างกันในแต่ละช่องทาง จึงเรียกได้ว่ารู้จักลูกค้าจริง ๆ เพราะสุดท้ายแล้ว กลยุทธ์การตลาดที่ดีต้องเริ่มจากการเข้าใจพฤติกรรมของคนก่อนเสมอ

อ่านบทความน่าสนใจ :Personalized Marketing คืออะไร? ทำไมการตลาดแบบรู้ใจลูกค้า ถึงได้ผลกว่า

14. ให้ความสำคัญกับทุกคนดู

เจนนี่ไม่ได้มองคนดูเป็นแค่ยอดวิว เพราะในทุกไลฟ์สดขายของ เจนนี่จะพูดชื่อคนดู ตอบคอมเมนต์ หรือขอบคุณคนที่ซื้อทันที สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ไม่ใช่แค่การแสดงความใส่ใจ แต่ยังช่วยกระตุ้นให้คนอื่นอยากมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้นอีกด้วย เพราะทุกการกดไลก์และคอมเมนต์คือตัวช่วยบูสการมองเห็นให้พุ่งกระฉูดยิ่งกว่าเดิม โดยไม่ต้องเสียเงินยิงแอดเพิ่มเลยด้วยซ้ำ

15. สร้างแบรนด์ให้คนจำ ไม่ต้องหวังพึ่งแอด

แม้ยอดขายจาก Algorithm จะมาไว แต่ก็ไปไวเช่นกัน เจนนี่จึงโฟกัสการสร้างแบรนด์ให้คนจำชื่อได้ก่อน เพราะแม้วันหนึ่งระบบจะไม่ดันไลฟ์เหมือนเดิม แต่ผู้คนจำชื่อได้ ลูกค้าก็จะยังกลับมาหาแบรนด์ที่ไว้ใจได้เสมอ เพราะนี่คือพลังของกลยุทธ์การตลาดแบบยั่งยืน

ยอดขายทะลุเป้าด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบเจนนี่

ความสำเร็จของเจนนี่ไม่ได้มาจากโชค แต่มาจากกลยุทธ์การตลาดที่เริ่มจากความจริงใจ ด้วยความเข้าใจคนดู และทำอย่างต่อเนื่องจนเกิดความเชื่อใจ ควบคู่ไปกับการใช้พลัง Collaboration ที่สร้างการเติบโตแบบที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ สะท้อนให้เห็นว่า การตลาดยุคใหม่ไม่จำเป็นต้องยิงแอดหนักหรือขายตรงเสมอไป แต่ต้องเข้าใจคน และสื่อสารอย่างจริงใจ เพราะในวันที่ทุกคนก็ไลฟ์สดขายของได้ แบรนด์ที่จริงใจ จะกลายเป็นแบรนด์ที่จดจำ

แต่ถ้าคุณอยากสร้างระบบการตลาดที่เข้าถึงคนจริง ขายได้จริง และยั่งยืนแบบให้ Blupaper ช่วยออกแบบกลยุทธ์และคอนเทนต์ที่เหมาะกับแบรนด์ของคุณ ตั้งแต่กลยุทธ์การตลาด ไปจนถึงโฆษณาออนไลน์ครบวงจร ให้ทุกยอดวิวของคุณกลายเป็นยอดขายอย่างยั่งยืน ปรึกษาแผนการตลาดฟรี! ติดต่อเรา หรือ โทร. 094-454-2495

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาดแบบเจนนี่

Q: ทำไมเจนนี่ ไลฟ์สด ถึงประสบความสำเร็จมากขนาดนี้?

A: เจนนี่เข้าใจการตลาดยุคใหม่ด้วยการใช้ความจริงใจในการขาย ร่วมกับการไลฟ์สดอย่างต่อเนื่อง แบบอิงระบบ Algorithm ของแพลตฟอร์ม จนทำให้ “เจนนี่ ไลฟ์สด” กลายเป็นต้นแบบของกลยุทธ์การตลาดยุคใหม่

Q: ทำไมการตลาดแบบจริงใจถึงกลายเป็นกลยุทธ์ที่ห้ามพลาดในยุคนี้?

A: ผู้บริโภคยุคนี้เลือกเชื่อคนก่อนเชื่อแบรนด์ ดังนั้น เมื่อแบรนด์สื่อสารอย่างจริงใจ ไม่เสแสร้ง คนจะรู้สึกใกล้ชิดและอยากสนับสนุน เหมือนเจนนี่ที่คนดูไม่ได้แค่ซื้อของ แต่ซื้อเพราะเป็นเจนนี่ ซึ่งเป็นผลมาจาก Authenticity Marketing ที่สร้าง Loyalty ระยะยาว

Q: เจนนี่ ไลฟ์โมเดล คืออะไร?

A: โมเดลการขายผ่านไลฟ์สดรูปแบบใหม่ที่เจนนี่ใช้ ด้วยการเปลี่ยนจากการขายของตัวเอง สู่การเป็นแพลตฟอร์มขายของให้คนอื่น เธอเปิดรับแบรนด์และ SME มาร่วมไลฟ์ในช่องตัวเอง และสร้างรายได้ 3 ช่องทางด้วยกัน

Q: การ Collaboration กับอินฟลูเอนเซอร์ช่วยเพิ่มยอดขายได้ยังไง?

A: การร่วมไลฟ์กับอินฟลูเอนเซอร์หรือคนดังช่วยเพิ่มทั้งยอดผู้ชมและ Engagement รวมถึงชื่อเสียงของคนดังเหล่านั้น ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์อีกด้วย

Q: ถ้าอยากเริ่มทำไลฟ์ขายของแบบเจนนี่ ควรเริ่มจากตรงไหนก่อน?

A: เริ่มจากทำความเข้าใจคนดูของคุณว่าพวกเขาต้องการอะไร จากนั้นจึงวางแผนเนื้อหา ระบบหลังบ้าน และการโปรโมต และให้ความสำคัญที่การสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะเริ่มขาย เพราะยอดขายจะตามมาทีหลังเสมอ