ทำ Retargeting เยอะเกินไปทำให้ลูกค้ารำคาญใจ
ถ้าเราไล่ตามลูกค้ามากเกินไปแบบไม่ยอมหยุด ทำให้พวกเขาเห็นแอดของเราวันสามรอบต่อวัน ด้วยคำเดิม ภาพเดิม ข้อเสนอเดิม ใครจะไม่เบือนหน้าหนีกันล่ะ?
การยิงแอดแบบ Retargeting ถี่เกินและใช้ครีเอทีฟเดิมซ้ำ ๆ ลูกค้าจะรู้สึกถูกรบกวนและเริ่มเพิกเฉยต่อแบรนด์ของเรา แน่นอนว่าผลที่ตามมาก็คือ อัตราคลิกลดลง ต้นทุนต่อการสั่งซื้อสูงขึ้น คำติเรื่องความรบกวนมากขึ้น และยอดขายโดยรวมไม่คุ้มกับงบอีกต่อไป
อ่านบทความที่น่าสนใจ: Retargeting คืออะไร? เทคนิคการตลาดแบบตามลูกค้าไปทุกที่อย่างมีชั้นเชิง

Retargeting Ads แบบไหนที่ทำให้รำคาญ?
การทำ Retargeting Ads คือการทำโฆษณากับกลุ่มคนที่เคยปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มาก่อน เช่น เข้าเว็บไซต์ ดูสินค้า เพิ่มลงตะกร้า หรือมีส่วนร่วมบน Facebook หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ
โดยมีเป้าหมายเพื่อเตือนความจำและจูงใจลูกค้ากลับมาทำให้ตรงตามเป้าหมายของเรา เช่น ซื้อสินค้า สมัครสมาชิก หรือลงทะเบียน เป็นต้น มาดูกันว่า Retargeting แบบไหนที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกรำคาญได้บ้าง!?
- ถี่เกินไปในช่วงเวลาสั้น ๆลูกค้าเห็นโฆษณาแบรนด์เดิมซ้ำหลายครั้งต่อวัน จนรู้สึกถูกรบกวนการใช้งาน
- ครีเอทีฟเดิมซ้ำอย่างต่อเนื่องภาพเดิม ข้อความเดิม ข้อเสนอเดิม แสดงซ้ำหลายวัน ทำให้ CTR ลดลงอย่างต่อเนื่อง
- ข้อความไม่ตรงเจตนาหรือสถานะของผู้ใช้คนเพิ่งดูสินค้าไว้แค่คร่าว ๆ แต่ได้รับข้อความเร่งซื้อ Hard Sell เกินไป หรือคนที่ต้องการข้อมูลเพิ่มกลับเจอเพียงส่วนลด
- ไม่ยกเว้นกลุ่มที่เพิ่งซื้อ หรือเพิ่งทำเป้าหมายผู้ที่ซื้อไปแล้วยังเห็นโฆษณาซื้อซ้ำทันที ทำให้รู้สึกว่าแบรนด์ไม่ใส่ใจ
- เลือกหน้า Landing ไม่ตรงกับพฤติกรรมก่อนหน้า เช่น ผู้ใช้เลือกของทิ้งไว้ในตะกร้าแต่พาไปหน้าโฮมเพจ หรืออ่านบทความแล้วถูกพาไปหน้าที่ไม่เกี่ยวข้อง ทำให้เกิดความสับสน
- จังหวะเวลาไม่เหมาะสมยิงแอดซ้ำในช่วงเวลาที่ผู้ใช้ไม่น่าจะตัดสินใจซื้อ เช่น ช่วงที่ดึกมาก หรือหลังหมดโปรทันทีโดยไม่มีอะไรใหม่เพิ่มเติม
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าแอดของเรากำลังกวนใจลูกค้า?
สังเกตได้จาก CTR ที่ลดลงต่อเนื่อง ในขณะที่ CPA สูงขึ้น มีความถี่เฉลี่ยต่อผู้ใช้สูงกว่ากรอบที่ตั้งไว้ อัตราการซ่อนโฆษณาหรือฟีดแบ็กลบเพิ่มขึ้น ไปจนถึงหน้าปลายทางมีอัตราตีกลับสูงผิดปกติ

เทคนิคทำ Retargeting แบบไม่ให้ลูกค้ารำคาญ
แล้วทำ Retargeting แบบไหนไม่ให้ลูกค้ารำคาญ มาดูเทคนิคเหล่านี้กัน
1. เลือกคนที่ใช่
หัวใจของการทำ Retargeting คือ คัดคนให้ตรงใจจริง ๆ ยิ่งเราเข้าใจ Customer Journey ของลูกค้ามากเท่าไหร่ กลุ่มเป้าหมายของเราก็ยิ่งใช่มากเท่านั้น เรามีแนวทางการตามหากลุ่มคนที่ใช่ให้ได้แบบเป๊ะ ๆ มาฝาก
- ตามกลุ่มที่เห็นและทำสิ่งต่างๆ บนเว็บไซต์แยกกลุ่มตามพฤติกรรม เช่น คนที่ดูหน้าสินค้า ใส่ตะกร้า เริ่มเช็กเอาต์ หรือซื้อแล้ว
- ตาม Pain Point (จุดเจ็บของลูกค้า)แยกกลุ่มตามความกังวลที่ลูกค้ามี เช่น คนที่กังวลเรื่องราคา ไม่มั่นใจในคุณภาพ หรือกลัวการใช้สินค้าไม่ถูกวิธี
- ตามระดับความเข้าใจหรือความสนใจแยกตามความลึกของการมีส่วนร่วม เช่น คนที่ดูวิดีโอ 50% กับคนที่ดูจนจบ การใช้ข้อความต่างกันเพื่อตรงกับความเข้าใจที่ได้
- ขยายจากกลุ่มที่ทำกำไรแล้วใช้ Lookalike Audience เพื่อหากลุ่มที่เหมือนกับลูกค้าที่เคยซื้อหรือมีส่วนร่วมสูง เพิ่มคุณภาพด้วยการใช้ Custom Audiences เช่น คนที่กดไลก์ คนที่ทักแชต หรือคนที่ดูโฆษณาหลายครั้ง
- ตั้ง Exclusion สำหรับกลุ่มที่ทำเป้าหมายแล้วยกเว้นคนที่เพิ่งซื้อไปไม่นาน หรือคนที่เพิ่มสินค้าลงตะกร้าแล้วหรือเช็กเอาต์แล้ว เพื่อไม่ให้พวกเขาเจอโฆษณาซื้อซ้ำให้หงุดหงิด
2. เข้าใจ Journey ของลูกค้า
หลังจากที่เราเลือกกลุ่มเป้าหมายได้แล้ว ขั้นต่อมาคือการเข้าใจลูกค้าในแต่ละสเตจของการตัดสินใจซื้อ แบบ Full Funnel เพราะการทำ Retargeting ไม่ควรส่งข้อความแบบเดียวกันให้ทุกคน แต่ควรทำความเข้าใจว่าลูกค้าแต่ละคนอยู่ในสเตจไหนของการตัดสินใจซื้อ แล้วพูดให้ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการในตอนนั้น ไม่ปล่อยให้พวกเขาหยุดนิ่งจนกว่าจะตัดสินใจซื้อ เช่น
- คนที่เพิ่งรู้จัก ต้องการข้อมูลเบื้องต้นที่ชัดเจน เราก็ไม่ต้องรีบร้อนขาย แค่ทำให้เขาเห็นคุณค่าของสินค้าก่อน เช่น ประโยชน์ของสินค้าและวิธีการใช้งาน
- คนที่กำลังพิจารณา อยากเห็นรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น รีวิวจากลูกค้า หรือการเปรียบเทียบกับสินค้าตัวอื่น ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจ
- คนที่พร้อมซื้อ ต้องการการกระตุ้นสุดท้าย เช่น คูปองส่วนลด หรือการรับประกันคืนเงิน เพื่อให้พวกเขามั่นใจมากขึ้นที่จะตัดสินใจซื้อ
3. สื่อสารด้วยคอนเทนต์ที่ตรงกับพฤติกรรมลูกค้า
เข้าใจสเตจของลูกค้าแล้ว การเลือกทำคอนเทนต์ที่ตรงกับพฤติกรรมของลูกค้าในสเตจนั้น ๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น
- ลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ ทั้งที่เข้ามาดูสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์ แสดงว่าพวกเขาสนใจแล้ว การติด Cookies หรือ Pixel เพื่อเก็บข้อมูลไว้ทำ Retargeting ต่อไปได้ เช่น ใครที่เข้ามาดูสินค้าบ่อย ๆ เราก็อาจจะยิงโฆษณาเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นให้เขากลับมาซื้อได้
- ลูกค้าที่ดูวิดีโอ โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มคนที่ดูวิดีโอ 50% กับคนที่ดู 100% เพื่อทำโฆษณาที่เหมาะสมกับแต่ละคน เช่น ถ้าดูครบ 100% ก็อาจจะเสนอโค้ดส่วนลด หรือข้อเสนอพิเศษเพื่อกระตุ้นการซื้อ
- ไปจนถึงลูกค้าที่กรอกฟอร์มแสดงความสนใจ (Lead Form) จะเห็นได้ชัดว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะซื้อแล้ว เราจึงควรทำ Retargeting ไปยังคนที่กรอกฟอร์ม เพื่อส่งข้อมูลเพิ่มเติมหรือข้อเสนอที่น่าสนใจให้เขาตัดสินใจเร็วขึ้น
4. ออกแบบคอนเทนต์ให้เหมาะกับช่องทาง
ทำคอนเทนต์โดนใจแล้วก็อย่าลืมเลือกช่องทางให้เหมาะสมด้วย เพราะแต่ละแพลตฟอร์มเหมาะกับการทำ Retargeting ในแบบที่ต่างกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่องทางหลัก ๆ ได้ ดังนี้
1. Social Media
เหมาะกับการทำคอนเทนต์ตามพฤติกรรมของลูกค้าในแพลตฟอร์ม เช่น ทำ Retargeting Facebook จากการกดไลค์ แชร์ หรือคอมเมนต์ ว่าใครเคยมีส่วนร่วมกับโพสต์ หรือโฆษณาของเราบ้าง จากนั้นค่อยยิงแอดให้น่าสนใจยิ่งขึ้น ด้วยภาพที่โดดเด่นพร้อมประโยคเด็ด
หรือในกรณีที่เป็นวิดีโอสั้น ๆ ก็อย่าลืมเปิดด้วยประโยชน์หรือปัญหาที่คนกลุ่มนั้นอยากรู้ พร้อมกับ ราคาและรีวิวที่ชัดเจน จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจได้เร็วขึ้น
2. Google
ถ้าลูกค้ากำลังค้นหาสินค้า หรือดูวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของเราอยู่บน Google ก็เป็นอีกจังหวะที่เราต้องรีบตามต่อ เพราะลูกค้าอยู่ในช่วงที่กำลังตัดสินใจเลือกซื้อ
โดยเราสามารถดึงเขากลับมาดูโฆษณาของเราได้อย่างตรงจุด ด้วยการทำให้เรู้สึกว่าเราพร้อมเสนอเรื่องที่พวกเขากำลังอยากรู้พอดี เช่น Landing Page ที่โหลดไวและมีข้อมูลที่พวกเขาต้องการ เช่น ตารางไซซ์ วิธีการใช้ หรือเงื่อนไขการรับประกัน
3. E-Mail
การทำ Retargeting ผ่านอีเมลเป็นวิธีที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างยาวนาน ดังนั้น ถ้าเรามีลิสต์ E-Mailของลูกค้าอยู่แล้ว อย่าลืมที่จะส่งอีเมลติดตามลูกค้าที่เคยเปิดอ่านหรือเข้ามาดูเว็บไซต์ของเรา พร้อมใส่ข้อเสนอพิเศษ หรือข้อมูลที่ลูกค้าสนใจเพื่อกระตุ้นให้กลับมาซื้ออีกครั้ง

5. ยิงแอดให้พอดี ไม่ถี่เกินไป
เมื่อเรารู้แล้วว่าการยิงโฆษณาบ่อยเกินไปทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนโดนตามรังควาน จนรำคาญและไม่อยากซื้อไปเลยก็ได้! ความถี่ในการยิงแอด จึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำ Retargeting ให้มีประสิทธิภาพ
เริ่มจากศึกษา Customer Journey ให้ดีว่า พวกเขาเห็นโฆษณากี่ครั้งถึงจะตัดสินใจซื้อ บางคนอาจต้องการเห็นแค่ 3 ครั้ง แต่สำหรับบางคนอาจต้องการถึง 7 ครั้ง
และเมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกค้าซื้อไปแล้ว ควรตั้ง Exclusion เพื่อหยุดยิงโฆษณา หรือถ้า CTR ลดลงอย่างต่อเนื่อง ก็ควรปรับหรือหยุดยิงโฆษณานั้น และลองเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกเบื่อหน่าย
6. ใช้ Conversion Tags ช่วยให้ยิงแม่นขึ้น
Conversion Tags เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การทำ Retargeting ด้วย Google Ads ของเราแม่นยำยิ่งขึ้น เพราะการติดตั้ง Conversion Tags บนเว็บไซต์จะช่วยให้เราติดตามพฤติกรรมของลูกค้าได้ทุกย่างก้าว ไม่ว่าเขาจะดูสินค้าหรือบริการไหน ใส่สินค้าอะไรในตะกร้าบ้าง หรือแม้จะสั่งซื้อสินค้าไปแล้วก็ตาม
ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราปรับโฆษณาให้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าสนใจได้มากขึ้น เช่น ถ้าลูกค้าซื้อสินค้าไปแล้ว ก็อาจเสนอข้อเสนอพิเศษหรือบริการเสริมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ลูกค้าซื้อไป นอกจากลูกค้าจะไม่รำคาญแล้ว ยังเพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้นอีกด้วย
7. Landing Page ปิดการขายให้ไหลลื่น
หลังจากลูกค้าโดนโฆษณาของเราพามาจนถึงหน้า Landing Page แล้ว หน้าเพจของเราก็ต้องพร้อมรับไม้ต่อได้อย่างลื่นไหล ไม่สร้างความรำคาญใจให้ลูกค้า ด้วยหน้าเพจที่โหลดเร็วทันใจ ปุ่มชัดเจน และข้อมูลครบถ้วน ตั้งแต่สต๊อกสินค้า คูปองพร้อมใช้งาน ไปจนถึงขั้นตอนการชำระเงินที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก
หน้า Landing Page ที่เนี้ยบแบบนี้ จะช่วยให้ลูกค้าไม่รู้สึกว่าถูกหลอกลวงหรือบังคับให้ซื้อ แต่กลับรู้สึกสะดวกสบายและมั่นใจในสิ่งที่เรานำเสนอให้ เพราะประสบการณ์ที่ดีจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้โดยไม่ต้องเร่งยิงโฆษณาบ่อย ๆ จนลูกค้ารู้สึกเบื่อหน่าย
ทำ Retargeting แบบเข้าใจลูกค้า เพิ่มยอดขายได้เป็นกอง
เลิกยิงแอดใส่ลูกค้ารัว ๆ ให้งบรั่วเล่น ๆ เพราะอาจสร้างความรำคาญใจให้ลูกค้าจนโดนบล็อกเลยก็ได้ การทำ Retargeting แบบใส่ใจลูกค้าให้ถูกที่ ถูกเวลา ไม่ตามตื๊อ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพิ่มยอดขายออนไลน์ให้คุณได้เป็นกอง!
ถ้าอยากให้โฆษณาโดนใจ ปิดยอดได้อย่างไหลลื่น Blupaper พร้อมช่วยตั้งแต่เริ่มวางแผน Retargeting Ads กลุ่มลูกค้า ไปจนถึง Landing Page พร้อมวัดผลแบบครบวงจร ติดต่อ Blupaper วันนี้! ให้แคมเปญของคุณกลับไปเตือนใจลูกค้าได้น่าจดจำกว่าเดิม
- โทร. 094-454-2495
- Line: @blupaper
- Facebook: Blupaper Digital Marketing Agency
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำ Retargeting
Q: ควรตั้งความถี่ในการยิงโฆษณาอย่างไรไม่ให้ลูกค้ารู้สึกถูกกวนใจ?
A: ควรตั้งความถี่ในการยิงแอดสำหรับลูกค้าในแต่ละสเตจให้ต่างกัน เช่น คนที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ อาจกำหนดไว้ที่ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่วนคนที่พร้อมซื้อ อาจกำหนดไว้ที่ 5-7 ครั้งต่อสัปดาห์
Q: ถ้าลูกค้าไม่สนใจ ควรหยุดยิงโฆษณาไปเลยไหม?
A: ควร หากยังฝืนยิงแอดซ้ำ ๆ อาจทำให้รู้สึกว่าเราไม่เคารพการตัดสินใจของพวกเขา ซึ่งรวมไปถึงลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือกรอกฟอร์มไปแล้ว ก็ควรตั้ง Exclusion เพื่อหยุดการยิงโฆษณาซ้ำไปยังลูกค้ากลุ่มนี้ด้วย
Q: ต้องเปลี่ยนโฆษณาบ่อยแค่ไหนเพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกเบื่อ?
A: อาจเปลี่ยนทุก 7–14 วัน หรือเมื่อ CTR เริ่มลดลง เพื่อให้ลูกค้าไม่รู้สึกว่ากำลังถูกตามตื๊อด้วยโฆษณาซ้ำ ๆ เช่น ใช้ภาพหรือข้อความที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้โฆษณาดูสดใหม่และน่าสนใจ
Q: การใช้ข้อมูลลูกค้าในการทำ Retargeting จะมีผลเสียตามมาไหม?
A: การใช้ข้อมูลแบบไม่ระมัดระวัง ละเมิดความเป็นส่วนตัวของลูกค้าจนรู้สึกไม่ปลอดภัย อาจทำให้พวกเขาเสียความเชื่อมั่นในแบรนด์ได้ ดังนั้น ต้องขอความยินยอมในการใช้ข้อมูลก่อนเสมอ เพื่อให้ทำ Retargeting ได้อย่างปลอดภัยและโปร่งใส
Q: ธุรกิจประเภทไหนที่ไม่ควรทำ Retargeting?
A: บางธุรกิจอาจไม่เหมาะสำหรับการทำ Retargeting เช่น
- ธุรกิจที่เน้นขายสินค้าครั้งเดียว เช่น ของขวัญ เครื่องประดับ
- ธุรกิจที่ต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจซื้อ เช่น บ้าน รถยนต์ หรือสินค้าราคาสูง
- ธุรกิจที่ไม่สามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าได้ ไม่มีการติดตั้งเครื่องมือช่วยติดตามพฤติกรรมลูกค้า เช่น Facebook Pixel หรือ Google Tag เพราะจะไม่สามารถทำ Retargeting ได้อย่างมีประสิทธิภาพ