ROAS คืออะไร?
ROAS หรือ Return on Ad Spend คือ อัตราส่วนที่บอกว่า เราได้ยอดขายกลับมาเท่าไหร่ จากการลงทุนค่าโฆษณาที่จ่ายไป พูดง่าย ๆ ก็คือ ผลตอบแทนจากงบโฆษณา ที่ใช้วัดความคุ้มของแคมเปญนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น เราควักเงินยิงแอดไป 1 บาท แล้วได้ยอดขายกลับมา 5 บาท แปลว่า ROAS ของเราคือ 5 เท่า ซึ่งถ้าเรายิ่งมี ROAS สูง ยิ่งแปลว่าแคมเปญของเราทำเงินได้ดี แต่ถ้า ROAS ต่ำมาก อาจหมายถึงแคมเปญกำลัง เผาเงินของเราทิ้งไปเปล่า ๆ
ROAS จึงเป็นหนึ่งใน Digital Marketing Metrics ที่นักการตลาดต้องรู้ เพราะมันช่วยให้เราเห็นชัดว่าแคมเปญไหนสร้างผลตอบแทนให้จริง และแคมเปญไหนที่ควรหยุดหรือลองปรับใหม่
วัดผลโฆษณาออนไลน์ด้วย ROAS ไม่ได้มีดีแค่เรื่องยอดขาย
หลายคนอาจจะมองแค่ยอดขายเป็นหลักในการวัดผลโฆษณา แต่ ROAS จะช่วยให้เราเห็นลึกไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็น
- แคมเปญที่ทำกำไรได้จริง ยอดขายสูงไม่ใช่ว่าดีเสมอไป ถ้าต้องแลกมาด้วยค่าโฆษณาที่แพงจนกำไรแทบไม่เหลือ ROAS จะช่วยกรองให้เห็นว่าแคมเปญไหน สร้างกำไรจริง ๆ และแคมเปญไหนที่มีเพียงตัวเลขสวยหรู
- เห็นช่องทางที่ควรโฟกัส ROAS ยังช่วยชี้เป้าว่าช่องทางไหนคุ้มสุด เพื่อที่เราจะได้ทุ่มงบประมาณไปได้ตรงจุด ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Google, TikTok หรือแหล่งอื่น ๆ ก็ไม่ต้องเดาให้เสียเวลา
- เพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา เมื่อรู้ ROAS เราก็สามารถปรับปรุง Keyword กลุ่มเป้าหมาย ข้อความโฆษณา หรือหน้า Landing Page เพื่อให้ ROAS สูงขึ้นได้
สูตรคำนวณ ROAS คิดยังไง?
ROAS = รายได้จากโฆษณา ÷ งบโฆษณา
เช่น ยิงแอดไป 10,000 บาท และมียอดขายที่มาจากโฆษณาเหล่านั้น 50,000 บาท
ดังนั้น ROAS = 50,000 ÷ 10,000 = 5 เท่า
หรือ ROAS = (รายได้จากโฆษณา / ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา) x 100%
เช่น ยิงแอดไป 10,000 บาท และมียอดขายที่มาจากโฆษณาเหล่านั้น 50,000 บาท
ดังนั้น ROAS = (50,000 / 10,000) x 100% = 5%
ROAS ที่ดีควรเป็นเท่าไหร่?
คำว่า ดี ของแต่ละธุรกิจก็ไม่เหมือนกัน เพราะในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีกำหนดไว้ว่าค่า ROAS ที่ดีควรเป็นเท่าไหร่ เพราะแต่ละธุรกิจมีปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจแตกต่างกันออกไป เช่น
1. ประเภทธุรกิจ
ธุรกิจที่มีกำไรต่อหน่วยสูง อย่างบริการให้คำปรึกษา หรือขายสินค้าพรีเมียม การมี ROAS ต่ำก็ยังเรียกว่าคุ้มได้ กลับกันหากเป็นการขายของที่ได้กำไรน้อย เช่น Fast Fashion หรือของใช้ประจำวัน ต้องมี ROAS สูงมาก ถึงจะอยู่รอดได้
2. อุตสาหกรรม
บางอุตสาหกรรมมีการแข่งขันสูง เช่น อสังหาฯ หรือความงาม เป็นต้น ทำให้ค่าโฆษณาแพงขึ้น ส่งผลให้ ROAS อาจจะดูไม่สูงมากแม้จะขายได้เยอะ จึงต้องเปรียบเทียบกับ Benchmark ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
3. เป้าหมายแคมเปญ
ถ้าเป้าหมายคือ Brand Awareness หรือ Lead Generation ค่า ROAS ก็อาจจะไม่ใช่ตัวชี้วัดหลักที่ต้องโฟกัสมากเท่ากับยอดขายตรง แต่ถ้าเป้าหมายคือยอดขาย ROAS คือพระเอกตัวจริงที่ต้องดูควบคู่กับ Metrics อื่น เช่น CPM, CTR หรือ Cost per Lead ด้วย
อ่านบทความที่น่าสนใจ : ทำ Google Ads ให้เวิร์ก! เข้าใจความต่างของ CPM, CPC, CPA ก่อนลงมือทำ
4. อัตรากำไร (Profit Margin)
แคมเปญที่ ROAS อาจดูสวย แต่ถ้าต้องแบกค่าขนส่ง ค่าคอมมิชชัน influencer หรือค่าอื่น ๆ ยิบย่อย จนกำไรต่อชิ้นเหลือหลักหน่วย ถือเป็นกำไรหลอกตา เพราะฉะนั้นอย่าดูแค่ยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ควรดูกำไรหลังหักต้นทุนทั้งหมดด้วย
แต่ Blupaper มีแนวทางคร่าว ๆ สำหรับบางธุรกิจมาฝากเช่นกัน
- ธุรกิจบริการต่าง ๆ ควรตั้งเป้า ROAS ไว้ที่ 3–5 เท่า เพราะอาจมีค่าบริการสูง กำไรต่อดีลเยอะ
- E-commerce ควรตั้งเป้า ROAS ไว้ที่ 4–8 เท่า เพราะต้องหักต้นทุนสินค้าและค่าขนส่ง
- สินค้าที่ได้กำไรน้อย ควรตั้งเป้า ROAS ไว้ที่ 6 เท่าขึ้นไป จำเป็นต้อง ROAS สูงถึงจะได้กำไรจริง
อย่างไรก็ตาม หาก ROAS สูงกว่า 100% ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีแล้ว เพราะนั่นหมายความว่าเราได้เงินคืนมากกว่าที่ลงทุนไป แต่ถ้าจะให้ดี เราควรจะตั้งเป้าให้สูงกว่านั้น เพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนอื่น ๆ และสร้างกำไรให้ธุรกิจของเรา
ปรับ ROAS ยังไงให้โฆษณาทำเงินเพิ่มขึ้น?
1. รู้จักกลุ่มเป้าหมายให้ลึกซึ้ง
ยิ่งเรารู้ว่าลูกค้าของเราคือใคร มีพฤติกรรมแบบไหน สนใจอะไรมากแค่ไหน เราก็จะสามารถยิงแอดได้แม่นยำขึ้น ลดการเสียเงินไปกับกลุ่มที่ไม่ใช่ลูกค้าเป้าหมาย
โดยอาจเริ่มจากลองปรับ Audience Segment ให้แคบลง และใช้ Custom Audience/Lookalike Audience ที่ตรงกลุ่มมากขึ้น เพื่อให้โฆษณาเข้าตาคนที่มีแววจะซื้อ
2. ปรับข้อความโฆษณาและครีเอทีฟให้ดึงดูด
อย่าปล่อยให้โฆษณาของเราจืดชืด จนดูกลืนหายไปกับฟีด เพราะโฆษณาที่ดี ภาพต้องโดน ข้อความต้องใช่ และสื่อคุณค่าของสินค้าได้ชัดตั้งแต่ 3 วินาทีแรก
ด้วยการทดสอบ A/B Testing กับ Headline, Description และรูปภาพหรือวิดีโอ เพื่อหาเวอร์ชันที่ Conversion Rate สูงที่สุด
3. ทำหน้า Landing Page ให้ตอบโจทย์
เมื่อลูกค้าคลิกโฆษณามาแล้ว หน้า Landing Page ต้องใช้งานง่าย โหลดเร็ว ข้อมูลครบถ้วน และมี CTA ที่ชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าทำสิ่งที่ต้องการ เพราะหากลูกค้าคลิกมาแล้วไม่ซื้อ เท่ากับเราเสียเงินฟรี จึงควรปรับให้ Landing Page ของเรามีสิ่งเหล่านี้
- CTA ชัดเจน
- ลดขั้นตอนสั่งซื้อ
- เพิ่มความน่าเชื่อถือ เช่น รีวิวจากลูกค้า หรือโลโก้แบรนด์ที่ร่วมงาน
- ปรับแต่งให้รองรับการใช้งานบนมือถือได้ดี ไม่ใช่แค่ Responsive
4. จัดการ Keyword ให้ตรงใจ
เลือก Keyword ที่มีคุณภาพ ตรงกับความตั้งใจในการซื้อของลูกค้า ไม่ใช่แค่คำค้นยอดฮิต และอย่าลืมตัด Negative Keywords ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป เพื่อให้โฆษณาไปแสดงในกลุ่มเป้าหมายที่ใช่จริง ๆ
อาจใช้รูปแบบการทำคีย์เวิร์ดแบบ Broad Match Modifier (BMM) หรือ Phrase Match ให้เหมาะสม และหมั่นเช็ก Search Terms Report แล้วปรับแผนอย่างต่อเนื่อง
5. เพิ่มมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย (AOV)
ยอดขายไม่ต้องมาจากลูกค้าเยอะเสมอไป ถ้าเราทำให้ลูกค้า 1 คน ซื้อเยอะขึ้นได้ ด้วยการลองหาวิธีให้ลูกค้าซื้อของกับเราในแต่ละครั้งให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขายพ่วง (Upsell) หรือขายสินค้าที่เกี่ยวข้อง (Cross-sell) เช่น เสนอโปรโมชัน “ซื้อ 2 ชิ้นลด 10%” หรือ “ซื้อครบ 500 บาทส่งฟรี” แค่นี้ ROAS ก็พุ่งขึ้นได้แบบไม่ต้องเพิ่มงบยิงแอดเลย
6. ใช้ Retargeting ให้เกิดประโยชน์
ลูกค้าที่เคยเข้าชมเว็บไซต์หรือเคยมีปฏิสัมพันธ์กับเราแล้ว มักจะมีแนวโน้มที่จะซื้อมากกว่าลูกค้าใหม่ ลองยิงโฆษณาเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าที่เคยกดดูเว็บ กดหยิบใส่ตะกร้า แต่ยังไม่จ่าย กลับมาซื้อซ้ำ ด้วยการสร้าง Custom Audience จากพวกเขา ด้วยข้อความ เช่น “ยังสนใจอยู่ไหม” หรือ “มีสินค้าอยู่ในตะกร้า” เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ เพราะบางครั้งการมีแค่โฆษณาเตือนใจครั้งเดียว ก็ช่วยให้ปิดการขายได้เช่นกัน
เพิ่ม ROAS ให้ได้กำไรแบบไม่จกตากับ Blupaper
ROAS ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนรายงาน แต่เป็นดัชนีวัดความคุ้มของทุกบาทที่จ่ายไปในการทำโฆษณา ช่วยให้รู้ว่าโฆษณาไหนกำไร โฆษณาไหนกำลังพาเงินไหลทิ้งไปแบบไม่รู้ตัว
แต่ถ้าคุณไม่มีเวลา หรือไม่อยากลองผิดลองถูกกับงบโฆษณาที่มีจำกัด ก็ไม่จำเป็นต้องลุยคนเดียวเสมอไป เพราะ Blupaper มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน Marketing ที่รู้จริงเรื่องแอด พร้อมวางกลยุทธ์ให้ตรงเป้า จัดการแคมเปญให้อย่างชาญฉลาด ติดต่อเราวันนี้ เพื่อเพิ่ม ROAS ให้มีกำไร ไม่ใช่แค่ยอดวิว