Full Funnel Marketing คืออะไร ทำไมถึงแตกต่าง?
Full Funnel Marketing คือ การทำการตลาดที่มองภาพรวมของเส้นทางลูกค้าทั้งหมด ตั้งแต่ช่วงที่เพิ่งรู้จักแบรนด์ ไปจนถึงช่วงที่ตัดสินใจซื้อ ไปจนถึงกลายเป็นลูกค้าประจำ โดยมีเป้าหมายคือการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า เพื่อให้พวกเขากลับมาซื้อซ้ำและช่วยบอกต่อ
ในอดีตแนวคิดการตลาดส่วนใหญ่จะอิงจาก Sales Funnel ที่มักเน้นเพียงช่วงใดช่วงหนึ่ง เช่น ยิงแอดให้คนเห็นเยอะๆ หรือเส้นทางของลูกค้าจะจบลงทันทีเมื่อมีการซื้อขายเกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเดินทางของลูกค้าไม่ได้หยุดแค่นั้น เพราะลูกค้าที่พึงพอใจสามารถกลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโตต่อได้
Full Funnel Marketing จึงต่อยอดจากแนวคิดเดิม โดยนำแนวคิด Flywheel จาก HubSpot มาประยุกต์ใช้ว่า ลูกค้าที่ได้รับประสบการณ์ที่ดีจะกลายเป็นพลังที่ช่วยเป็นแรงหนุนการตลาดให้เดินต่ออย่างไม่รู้จบ ลูกค้าเก่ากลายเป็นผู้บอกต่อ ดึงดูดลูกค้าใหม่เข้ามาใน Funnel อีกครั้ง เกิดเป็นวงจรการตลาดที่เติบโตได้ด้วยตัวเอง ตั้งแต่
- การสร้างการรับรู้ (Top Funnel)
- การเลี้ยงความสนใจและความไว้ใจ (Middle Funnel)
- การปิดยอดขาย (Bottom Funnel)
- และสร้าง Loyalty (Retention)
เรียกได้ว่า Full Funnel Marketing ไม่ใช่เทคนิคยิงแอด แต่เป็นกลยุทธ์เพิ่มยอดขายระยะยาวต่างหาก

ทำ Full Funnel Marketing ดีอย่างไร?
การตลาดยุคใหม่ไม่ได้จบแค่การยิงแอดให้คนเห็น แต่ต้องวางกลยุทธ์ดูแลลูกค้าตลอดเส้นทาง ตั้งแต่เริ่มรู้จักแบรนด์ ไปจนถึงกลายเป็นแฟนประจำ ข้อดีของการทำ Full Funnel Marketing คือ
1.ช่วยปิดช่องว่างของ Funnel เดิมสร้างการรับรู้พร้อมดูแลลูกค้าทุกขั้นตอน ตั้งแต่รู้จักแบรนด์จนกลายเป็นลูกค้าประจำ
2. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้โฆษณาใช้งบที่ใช้ยิงแอดสร้างผลตอบแทนได้มากขึ้น ด้วยการเชื่อมโยง Funnel แต่ละช่วงอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แค่ยิงแล้วจบไป
3. เข้าใจลูกค้าลึกขึ้นจากข้อมูลในแต่ละ Funnelตั้งแต่รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายสนใจอะไร ใครกำลังพิจารณาหรือมีแนวโน้มซื้อ ไปจนถึงเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าหลังการขาย เพื่อดึงให้พวกเขากลับมาซื้อซ้ำ
4. สร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีอย่างต่อเนื่องลูกค้ารับรู้แบรนด์ในทุกช่องทางด้วยน้ำเสียงเดียวกัน และรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจในทุกขั้นตอน
5. สร้างการเติบโตแบบยั่งยืน (Sustainable Growth)ลูกค้าเก่ากลายเป็นผู้บอกต่อ ดึงดูดลูกค้าใหม่เข้ามาใน Funnel ได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องเพิ่มงบโฆษณาแบบไร้ขีดจำกัด
ขั้นตอนของ Funnel มีอะไรบ้าง?
Full Funnel Marketing มองการตลาดในภาพใหญ่ที่ลูกค้าเดินทางผ่าน 4 ขั้นตอนหลัก ที่มีเป้าหมายและกลยุทธ์ต่างกัน ดังนี้

1. Top of Funnel สร้างการรับรู้ในวงกว้าง
เป็นช่วงที่ลูกค้ายังไม่รู้จักแบรนด์ เป้าหมายของเฟสนี้คือการทำให้กลุ่มคนใหม่ ๆ รู้จักและจดจำแบรนด์ได้
กลยุทธ์ที่ควรทำในช่วงนี้
- Content Marketing เขียนบทความให้ความรู้ หรือเล่าเรื่องราวแบรนด์ เช่น Blog, Video หรือ Infographic เพื่อดึงทราฟฟิกจาก Google
- Social Adsยิง Facebook Ads หรือ TikTok Ads แบบ Reach หรือ Video View เพื่อ PR ขยายการมองเห็น
- Social Media Marketing สร้างคอนเทนต์วิดีโอสั้น ๆ ที่สื่อสารอัตลักษณ์แบรนด์ได้ชัด
ช่วง Top Funnel นี้ จะเป็นช่วงที่ควรสร้างคอนเทนต์ให้ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายกว้าง ๆ แต่อย่าเพิ่งรีบขายสินค้า เพราะลูกค้ายังไม่พร้อมจะซื้อโดยวัดผลจาก Reach, Impression และ Engagement
2. Middle of Funnel สร้างความสนใจและความเชื่อมั่น
เมื่อผู้คนเริ่มรู้จักแบรนด์ของเราแล้ว ต่อมาคือการให้ข้อมูลและเพิ่มความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าผลิตภัณฑ์ของเราตอบโจทย์และสามารถแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้ เป้าหมายของเฟสนี้คือเปลี่ยนจากคนที่รู้จักให้กลายเป็นคนที่สนใจจริงจัง (Leads)
กลยุทธ์ที่ควรทำในช่วงนี้
- Lead Magnetแจก E-book, Webinar, หรือ Template แลกอีเมล / ข้อมูลติดต่อ
- Remarketing Adsยิงแอดติดตามคนที่เคยเข้าเว็บไซต์หรือเคยมีส่วนร่วมกับเพจ
- Traffic Campaignใช้ Facebook Ads แบบ Traffic เพื่อดึงคนเข้าสู่ Landing Page
- Email Marketing /Chat Automation ส่งข้อมูลต่อเนื่องเพื่อเลี้ยงความสนใจ
ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ควรสื่อสารให้เห็นคุณค่าชัดเจน แต่ไม่ควรใช้ข้อความขายจนน่ารำคาญเกินไป และวัดผลจาก CTR, Time on Page และ Lead Volume
3. Bottom of Funnel ปิดการขายให้ได้
ลูกค้าที่อยู่ในเฟสนี้คือกลุ่มที่พร้อมจะตัดสินใจซื้อแล้ว เป้าหมายของเฟสนี้จึงเน้นไปที่การ โน้มน้าวให้คลิกซื้อ เพื่อเปลี่ยนผู้สนใจให้กลายเป็นลูกค้าที่จ่ายเงินจริง
กลยุทธ์ที่ควรทำในช่วงนี้
- Case Studies & Testimonialsใช้รีวิวและผลลัพธ์จริงเพื่อสร้างความมั่นใจ
- Conversion Adsยิง Facebook Ads หรือ Google Ads ไปยังกลุ่ม Remarketing ที่มีแนวโน้มซื้อสูง
- Landing Page Optimizationออกแบบหน้าเว็บให้ปิดการขายได้รวดเร็วและง่ายที่สุด
- Special Offerสร้างข้อเสนอพิเศษ เช่น ส่วนลดจำกัดเวลา หรือฟรีของแถม
ช่วงนี้ควรจะทำให้ขั้นตอนการซื้อสั้นที่สุด จึงควรเลี่ยงการใช้ฟอร์มหรือปุ่มซื้อที่ซับซ้อนเกินไป สามารถวัดผลของช่วงนี้ได้จาก Conversion Rate, Cost per Sale และ ROAS
4. Retention รักษาฐานลูกค้าและสร้างการบอกต่อ
ไม่หยุดอยู่ที่การปิดการขาย เพราะ Full Funnel Marketing จะสร้างประสบการณ์ที่ดีเพื่อให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ และช่วยบอกต่อให้ลูกค้าใหม่กลายเป็นลูกค้าประจำและผู้บอกต่อแบรนด์ไปด้วยในตัว
กลยุทธ์ที่ควรทำในช่วงนี้
- CRM& Loyalty Programใช้ LINE OA หรือระบบสะสมแต้มดูแลลูกค้าหลังการขาย
- Retention Campaignยิงแอดเฉพาะกลุ่มลูกค้าเก่าด้วยข้อเสนอพิเศษ
- Content for Advocacyสร้างคอนเทนต์ให้ลูกค้าช่วยแชร์หรือรีวิว เช่น แคมเปญ UGC (User Generated Content)
- Email Automationส่งข้อมูลสินค้าใหม่หรือโปรโมชันเฉพาะลูกค้าเก่า
เราจะไม่ติดต่อแค่ตอนที่อยากขาย แต่ต้องสร้างความรู้สึกให้ลูกค้าเป็นคนสำคัญ ในช่วงนี้จึงจะวัดผลจาก Repeat Purchase Rate, CLV และ Referral Volume
อยากทำ Full Funnel Marketing เริ่มยังไงดี?
การทำ Full Funnel Marketing ให้ได้ผล ไม่ได้อยู่ที่งบหรือเครื่องมือ แต่อยู่ที่ความเข้าใจลูกค้าในทุกช่วงของการเดินทางต่างหาก มาดูกันว่าแต่ละขั้นตอนช่วยให้เราวางกลยุทธ์แบบครบลูปได้อย่างไรบ้าง

1. เข้าใจ Customer Journey
เริ่มจากการทำความเข้าใจว่าลูกค้าผ่านขั้นตอนอะไรบ้างก่อนจะตัดสินใจซื้อและกลับมาซื้อซ้ำ ตั้งแต่ลูกค้าของเรารู้จักแบรนด์ผ่านช่องทางไหน ตัดสินใจซื้ออย่างไร และหลังการซื้อมีพฤติกรรมแบบไหน ด้วยการแบ่งตาม Framework ยอดนิยม ดังนี้
- Awareness, Consideration, Decision
- Awareness, Consideration, Decision, Retention
- Awareness, Consideration, Decision, Retention, Advocacy
ธุรกิจบางประเภท เช่น eCommerce ที่ลูกค้าอาจซื้อเพียงครั้งเดียว ใช้เพียง 3 ขั้นตอนก็เพียงพอ แต่ถ้าเป็นบริการที่เน้นการบอกต่อ เช่น เอเจนซี่ หรือซอฟต์แวร์ การมีขั้น Advocacy ก็ช่วยสร้างพลังการตลาดแบบลูกค้าชวนลูกค้าได้จริง
ธุรกิจบางประเภท เช่น eCommerce ที่ลูกค้าอาจซื้อเพียงครั้งเดียว ใช้เพียง 3 ขั้นตอนก็เพียงพอ แต่ถ้าเป็นบริการที่เน้นการบอกต่อ เช่น เอเจนซี่ หรือซอฟต์แวร์ การมีขั้น Advocacy ก็ช่วยสร้างพลังการตลาดแบบลูกค้าชวนลูกค้าได้จริง
2. ตั้งเป้าหมายและตั้งชี้วัดให้ชัดเจน
แต่ละ Funnel ต้องมีเป้าหมายชัดเจน เช่น
- TOFU: เพิ่ม Reach และ Engagement
- MOFU: สร้าง Lead ที่มีคุณภาพ
- BOFU: เพิ่ม Conversion Rate
- LOOP: เพิ่มอัตราซื้อซ้ำ (Repeat Purchase Rate)
แต่เป้าหมายทั้งหมดควรอยู่ในกรอบ SMART Goals (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound) เพื่อให้วัดผลได้จริง รวมถึงการกำหนด KPI ที่ชัดเจนจะช่วยให้ทีมไม่หลงทาง และรู้ว่าควรโฟกัสที่ตัวชี้วัดใดในแต่ละขั้น
3. เลือกเครื่องมือและช่องทางให้เหมาะกับลูกค้า
- ใช้ SEO และ Blog ในการดึงคนใหม่ (TOFU)
- ใช้ Email, Remarketing, Webinar สำหรับเลี้ยงความสนใจ (MOFU)
- ใช้ Conversion Ads หรือ Sales Page ในการปิดการขาย (BOFU)
- ใช้ระบบ CRM, LINE OA, Loyalty Program สำหรับดูแลลูกค้าเก่า (LOOP)
ทางที่ดี ไม่ควรใช้ทุกเครื่องมือพร้อมกัน แต่ควรเลือกช่องทางที่ลูกค้าใช้งานจริงจะดีกว่า
4. ออกแบบคอนเทนต์ให้สอดคล้องกันทั้ง Funnel
เนื้อหาต้องไหลต่อเนื่องกันอย่างเป็นระบบ เช่น
- คนที่เจอคอนเทนต์จาก TOFU ควรถูก Remarketing ด้วยเนื้อหา MOFU
- คนที่อยู่ใน MOFU ควรถูกชวนเข้าสู่ข้อเสนอ BOFU
- หลังการซื้อ ให้ Follow-up ด้วย LOOP เช่น คอนเทนต์ขอบคุณ หรือโปรลูกค้าเก่า

5. ใช้เทคโนโลยีช่วยทำและวัดผลอย่างต่อเนื่อง
เทคโนโลยีคือเพื่อนร่วมทางของ Full Funnel Marketing เลยก็ว่าได้ เพราะมันจะช่วยให้เราทำและติดตามผลได้ง่ายขึ้น โดยเรามีเครื่องมือหลักที่ควรมีมาแนะนำ ได้แก่
- Analytics & Reporting: Google Analytics, Looker Studio
- CRM: HubSpot, Salesforce, Zoho
- Marketing Automation: ActiveCampaign, Klaviyo, Mailchimp
- Ad Management: Meta Ads, Google Ads, TikTok Ads
อาจดูเยอะ แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมดในคราวเดียว ควรเริ่มจากเครื่องมือที่จำเป็นต่อ Funnel ปัจจุบัน และค่อยต่อยอดตามงบประมาณในภายหลัง
วางกลยุทธ์การตลาดแบบครบลูปกับ Blupaper
Full Funnel Marketing เป็นแนวคิดที่ต่อยอดจากแนวทางที่นักการตลาดส่วนใหญ่ใช้อยู่แล้ว เพียงแต่เปลี่ยนจากการโฟกัสแค่ยอดขาย มาเป็นการมองภาพใหญ่แบบครบลูป เพื่อปรับตัวให้กลายเป็นธุรกิจที่เข้าใจเส้นทางของลูกค้า ออกแบบการสื่อสารได้แม่นยำขึ้น ใช้งบได้คุ้มกว่าเดิม และสร้างฐานลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง
หากคุณกำลังมองหาทีมที่ช่วยทำการตลาดแบบครบลูป Blupaperพร้อมช่วยออกแบบ Full Funnel Marketing Strategy ที่เหมาะกับธุรกิจของแต่ละแบรนด์ ตั้งแต่การวิเคราะห์ Journey จริงของลูกค้า วางแผนคอนเทนต์ และสร้างระบบ Automation เพื่อให้ทุก Funnel เชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ปรึกษากลยุทธ์การตลาด ติดต่อเรา
- โทร. 094-454-2495
- Line: @blupaper
- Facebook: Blupaper Digital Marketing Agency
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Full Funnel Marketing
Q: Full Funnel Marketing เหมาะกับธุรกิจประเภทไหน?
A: เหมาะกับทุกธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะธุรกิจที่มีเส้นทางลูกค้าหลายขั้นตอน เช่น eCommerce ธุรกิจบริการ SaaS (ซอฟต์แวร์) และ B2B เพราะจะช่วยให้เข้าใจว่าควรลงทุนตรงไหนเพื่อผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด
Q: Full Funnel Marketing ใช้งบประมาณมากไหม?
A: ไม่จำเป็นต้องใช้งบเยอะ หากมีการวางโครงสร้างให้ถูก ธุรกิจสามารถเริ่มจากการวาง Funnel เบื้องต้นได้ เช่น จาก Awareness Consideration Conversion แล้วค่อยขยายเพิ่มเฟส Retention และ Advocacy เมื่อมีฐานลูกค้ามากขึ้น
Q: จะรู้ได้อย่างไรว่า Funnel ของธุรกิจทำงานดีหรือยัง?
A: สังเกตได้จาก Conversion Rate ระหว่างแต่ละเฟส หากคนเห็นคอนเทนต์เยอะแต่ไม่มีคนคลิก หรือมี Lead เยอะแต่ยอดขายไม่เพิ่ม แปลว่า Funnel ยังมีรูรั่ว ควรดูข้อมูลเป็นรายเฟสจะช่วยให้รู้ว่าควรปรับตรงไหนเพื่อให้ลูกค้าไหลลื่น
Q: ควรใช้ช่องทางการตลาดใดในแต่ละ Funnel บ้าง?
A: แต่ละ Funnel สามารถยึดแนวทางได้ ดังนี้
- Top Funnel: Facebook Ads, TikTok Ads, YouTube, PR, Blog SEO
- Middle Funnel: Email Marketing, Remarketing Ads, Webinar, Case Study
- Bottom Funnel: Conversion Landing Page, Chat Commerce, โปรโมชั่นเฉพาะกิจ
- Retention & Loyalty: LINE OA, CRM, Automation Email, Reward Program
การเลือกช่องทางที่เหมาะกับแต่ละเฟสจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่ม ROI ได้มากกว่าการหว่านยิงแอดโดยไม่มีเป้าหมาย
Q: Full Funnel Marketing ใช้กับธุรกิจ B2B ได้ไหม?
A: ใช้ได้ เพราะ B2B มีกระบวนการตัดสินใจซับซ้อน ต้องอาศัยหลายเฟส เช่น Lead Nurturing, Webinar และ Case Study การทำ Marketing แบบ Full Funnel จะช่วยให้เห็นภาพรวมว่า Prospect แต่ละรายอยู่ในขั้นไหน และต้องใช้กลยุทธ์อะไรในการดึงพวกเขาเข้าสู่ขั้น Decision