ROAS คืออะไร?
ROAS หรือ Return on Ads Spending คือ ตัวชี้วัดผลตอบแทนจากการโฆษณา เป็นเมตริกที่ใช้ประเมินประสิทธิภาพจากการโฆษณา เหมาะสำหรับวัดผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณาออนไลน์แบบเฉพาะเจาะจงว่าเงินที่จ่ายไปกับการโฆษณานั้นสร้างยอดขายกลับมาได้เท่าไร ทำให้เจ้าของธุรกิจรู้ว่าควรลงทุนเพิ่มหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการโฆษณาไปเป็นแบบอื่น
วิธีคำนวณ ROAS คือ ROAS = ยอดขายจากโฆษณา / ค่าโฆษณาที่ใช้ไป
ตัวอย่าง ROAS
บริษัท Blupaper ลงทุนทำ Facebook Ads บนแพลตฟอร์มออนไลน์ในเดือนที่ผ่านมา 20,000 บาท และได้ยอดขายกลับมาจากการยิง Ads รวม 45,000 บาท เมื่อลองมาคำนวณตามวิธีคิด ROAS ผลลัพธ์ที่ได้ คือ
ROAS = 45,000 / 20,000
ROAS = 2.25
ดังนั้น การลงทุนยิง Ads ในครั้งนี้ของบริษัท Blupaper ช่วยสร้างยอดขายได้ 2.25 เท่าจากเงินลงทุน หรือ ทุก 1 บาทที่ใช้ในการโฆษณาจะสร้างรายได้ให้บริษัท 2.25 บาท
ROAS ที่ดีควรเป็นเท่าไหร่?
วิธีคำนวณ ROAS ที่ดีควรเป็นเท่าไหร่ อาจไม่มีคำตอบที่ตายตัว เพราะแต่ละธุรกิจมีต้นทุนไม่เท่ากัน แต่การที่จะรู้ได้อย่างไรว่าโฆษณาออนไลน์คุ้มค่าหรือขาดทุน อาจพิจารณาจากจำนวนผลลัพธ์ที่ได้ เช่น
- ROAS 2 เท่า เริ่มเห็นผลตอบแทน
- ROAS 3 เท่า ขึ้นไป เริ่มคุ้มทุน (ถ้าต้นทุนไม่สูง)
- ROAS 5 เท่า ขึ้นไป ถือว่าแคมเปญทำได้ดีมากและเป็นจุดคุ้มทุนที่ทำกำไรให้กับธุรกิจ
หมายเหตุ: ถ้าธุรกิจมีกำไรน้อย หรือมีต้นทุนสูง เช่น ค่าคนแพ็ค ค่าขนส่ง ควรใช้ ROI ร่วมด้วย เพื่อวิเคราะห์ภาพรวมให้แม่นยำ
อ่านบทความที่น่าสนใจ: 6 กลยุทธ์ทำการตลาดร้านอาหาร ปั้นร้านให้ปังแซงหน้าคู่แข่ง!
ROI คืออะไร?
ROI เรียกให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าเป็น รายรับที่ได้มาจากการลงทุนที่เสียไปทั้งหมด เป็นเมตริกที่ใช้ประเมินประสิทธิภาพของการลงทุน เพื่อให้รู้ว่าผลลัพธ์ที่ได้รับกลับมาคุ้มค่าหรือไม่ โดย ROI ยังช่วยให้รู้ทิศทางการลงทุนในอนาคตได้ง่ายขึ้นด้วย ROI หรือ Return on Investment คือ ดัชนีวัดผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งหมด รวมถึงต้นทุนอื่น ๆ
วิธีคำนวณ ROI คือ ROI = (รายได้ทั้งหมด – เงินลงทุนทั้งหมด) / เงินลงทุนทั้งหมด*100
ตัวอย่าง ROI
บริษัท Blupaper ทำแคมเปญสินค้าที่ต้องใช้ต้นทุนในการผลิต และทำโฆษณาทั้งหมด 200,000 บาท และแคมเปญนี้ทำรายได้ให้กับบริษัทรวมทั้งหมด 500,000 บาท เมื่อลองมาคำนวณตามวิธีคิด ROAS ผลลัพธ์ที่ได้ คือ
ROI = (500,000 – 200,000) / 200,000*100
ROI = 150%
ดังนั้น การลงทุนทำแคมเปญส่งเสริมการขายสินค้าครั้งนี้ บริษัท Blupaper สามารถทำกำไรกลับมาได้ 150% จากเงินลงทุนทั้งหมด

ความแตกต่างระหว่าง ROAS กับ ROI
แม้ว่าทั้ง ROI และ ROAS คือ เมตริกที่ใช้ในการวัดผลตอบแทนทางการตลาดเหมือนกัน แต่ทั้ง 2 อย่างนี้ก็มีความแตกต่างในการนำไปใช้งานอยู่หลายด้าน ดังนี้
จุดเปรียบเทียบ | ROAS | ROI |
การคำนวณ | รายได้จากการโฆษณา / งบโฆษณาโดยตรง | (รายได้สุทธิ-ต้นทุนรวม) / ต้นทุนรวม |
เหมาะสำหรับ | วัดแคมเปญโฆษณาเฉพาะเจาะจง, ใช้ปรับแผนการยิงแอดแต่ละช่องทาง | ประเมินภาพรวมการลงทุน, เช็กความคุ้มทุนที่แท้จริง |
ต้นทุน | พิจารณาแค่ต้นทุนโฆษณาเป็นหลัก | รวมทุกต้นทุนที่เกี่ยวข้อง |
การใช้งาน | ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพโฆษณาหรือเทียบแคมเปญ | ต้องการวิเคราะห์กำไรความคุ้มค่าของธุรกิจหรือโครงการโดยรวม |
ROI หรือ ROAS คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ธุรกิจคุณ?
ทั้ง ROAS และ ROI คือเครื่องมือที่มีความสำคัญในการวัดผลทางการตลาด การเลือกใช้ ROAS หรือ ROI เป็นตัวชี้วัดนั้นอาจขึ้นอยู่กับเป้าหมายของธุรกิจ และข้อมูลที่ต้องการวัดผล หากธุรกิจต้องการวัดผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณาโดยเฉพาะ ROAS จะเป็นตัวชี้วัดที่ดีกว่าแน่นอน แต่หากต้องการประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนโดยรวม ROI จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญและเห็นภาพรวมได้ชัดเจนกว่า แต่หากเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ต้องการเห็นภาพรวมทั้งหมดจากการลงทุน การใช้ทั้ง ROAS และ ROI จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด
หากคุณคือเจ้าของธุรกิจที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาด Blupaper เรามีทีมการตลาดมืออาชีพพร้อมให้คำแนะนำ เพื่อวัดผลลัพธ์ของแคมเปญ และบริหารงบโฆษณาให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ติดต่อเราตอนนี้ ถ้าไม่อยากพลาดโอกาสสร้างยอดขายก่อนใคร หรือสอบถามรายละเอียด โทร.094-454-2496
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ROAS และ ROI (FAQ)
Q: วิธีคำนวณ ROAS และ ROI คำนวณอย่างไร?
A: ROAS จะคำนวณจากรายได้จากโฆษณาหารกับค่าใช้จ่ายโฆษณา ส่วน ROI จะนำกำไรสุทธิมาหารกับ ต้นทุนรวม แล้วคูณด้วย 100
Q: ROAS ที่ดีควรเป็นเท่าไหร่?
A: โดยทั่วไป ROAS ที่มากกว่า 3 เท่า ถือว่าเป็นจุดที่เริ่มคุ้มทุน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับต้นทุนอื่น ๆ ของธุรกิจด้วย ถ้าต้นทุนรวมสูง อาจต้องตั้งเป้าหมายของ ROAS ที่สูงกว่านี้เพื่อให้มีกำไรจริง
Q: จะรู้ได้อย่างไรว่าโฆษณาออนไลน์กำลังขาดทุน?
A: ถ้า ROAS ต่ำกว่า 1 แสดงว่าโฆษณาขาดทุนแน่นอน เพราะรายได้ที่ได้กลับมาต่ำกว่าค่าโฆษณาที่จ่ายไป และแม้ ROAS จะสูง แต่ถ้าต้นทุนอื่นมากเกินไป ROI อาจติดลบได้ ดังนั้นหากเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการลงทุนในหลายส่วน ควรวัดควบคู่กันทั้งสองตัว